แสบตา (Eye Burning)

ความหมาย แสบตา (Eye Burning)

แสบตา (Eye Burning) คือ การระคายเคือง แสบ คันบริเวณดวงตา ซึ่งอาจมีผลจากสิ่งแปลกปลอมเข้าตา ภูมิแพ้ หรือการติดเชื้อที่ดวงตา อาการแสบตามักไม่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหรือส่งผลกระทบรุนแรง และสามารถดูแลดวงตาเพื่อบรรเทาอาการได้ด้วยตัวเองที่บ้าน

แต่หากมีการติดเชื้อหรือไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องในเวลาอันเหมาะสม ก็อาจเป็นอันตรายจนทำให้เกิดความเสียหายต่อดวงตา หรือสูญเสียการมองเห็นได้ การหมั่นสังเกตอาการและไปพบแพทย์เมื่อมีอาการแสบตารุนแรง หรือมีอาการผิดปกติต่อดวงตาจึงเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ

Eye Burning

สาเหตุของอาการแสบตา

แสบตาอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น

1. ตาแดง

ตาแดงเป็นโรคตาที่พบบ่อย เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่เยื่อบุตาขาว ทำให้ตาขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือชมพู มีอาการแสบตา คันตา น้ำตาไหล ตาแดงเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายจากการใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดตัว และเครื่องสำอางร่วมกัน

2. ภูมิแพ้

นอกจากจะก่อให้เกิดอาการที่เกี่ยวกับการหายใจ เช่น จาม คัดจมูก คันจมูก และไอ อาการภูมิแพ้ยังส่งผลต่อดวงตา เช่น แสบตา คันตา น้ำตาไหล ซึ่งเรียกว่าภูมิแพ้ขึ้นตา (Allergic Conjunctivitis) ซึ่งจะเกิดอาการเมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้ มลพิษทางอากาศ สะเก็ดผิวหนังสัตว์

3. ตาแห้ง

ตาแห้งอาจเกิดจากการที่ตาผลิตน้ำตามาหล่อเลี้ยงดวงตาไม่เพียงพอ หรือน้ำตาระเหยเร็วผิดปกติ ทำให้เกิดอาการตาแห้งและแสบตา

4. สิ่งแปลกปลอมเข้าตา

อาการแสบคันหรือเคืองตามักเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา เช่น ฝุ่น ทราย ละอองเกสรดอกไม้ แมลง หรือเครื่องเทศชนิดผง สารเคมีที่ใช้ในการทำงาน น้ำหอม ควันบุหรี่ ซึ่งบางครั้งอาจขีดข่วนกระจกตาหรือทำให้เกิดการระคายเคืองและเจ็บปวดได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาเพื่อลดความเสี่ยงในการสร้างความเสียหายให้กับดวงตา

5. เปลือกตาอักเสบ (Blepharitis) 

การอักเสบของเปลือกตาเกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันที่โคนขนตา หรือการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอาจเกิดกับดวงตาทั้ง 2 ข้างหรือข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ ทำให้มีอาการตาบวม คันตา แสบตา และมีสะเก็ดเล็ก ๆ คล้ายรังแคที่เปลือกตา

6. พฤติกรรม 

อาการแสบตาอาจเกิดจากพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น

  • การใช้คอนแทคเลนส์ที่ไม่ถูกวิธี เช่น ไม่รักษาความสะอาด ใส่คอนแทคเลนส์นานเกินไป หรือใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับผู้อื่น
  • การใช้น้ำยาหยอดตาหมดอายุ การใช้เครื่องสำอางตกแต่งดวงตาร่วมกับผู้อื่น
  • การบาดเจ็บ อาการแสบตาอาจเกิดขึ้นจากการได้รับอุบัติเหตุระหว่างกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเล่นกีฬา 
  • การมองแสงแดดจ้าเป็นเวลานาน รังสียูวี (UV) ในแสงแดดจะทำลายดวงตา ทำให้เกิดอาการแสบตาได้

7. โรคอื่น ๆ

แสบตาอาจเกิดจากโรคอื่น ๆ เช่น งูสวัด โรคผิวหนังอักเสบโรซาเชียที่บริเวณดวงตา และโรคต้อเนื้อ (Pterygium)

อาการแสบตา

อาการแสบตามักเกิดขึ้นร่วมกับอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • ตาแดงเรื่อ ๆ หรือตาแดงมาก
  • เปลือกตาบวม
  • ตาแฉะ
  • มีขี้ตาสีเหลืองหรือเขียว
  • มีคราบเหลืองบริเวณโคนขนตาหรือหัวตา
  • ตาไวต่อแสงหรือแพ้แสง
  • ลืมตาลำบากในตอนเช้าเนื่องจากดวงตาชื้นแฉะ
  • ในกรณีที่รุนแรง อาจมีรอยแผลหรือรอยขีดข่วนบนกระจกตา ซึ่งอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้

อาการแสบตาที่ควรไปพบแพทย์

หากอาการตาแดงไม่หายหรือดีขึ้นภายใน 3–5 วัน หรือมีอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์

  • เปลือกตาบวมอักเสบมากขึ้น
  • ขี้ตาเป็นสีเขียว ซึ่งอาจเป็นผลจากเชื้อแบคทีเรีย
  • เจ็บมากหรือดวงตาไวต่อแสงมากขึ้น
  • ความสามารถในการมองเห็นลดลง เห็นภาพมัว

การวินิจฉัยอาการแสบตา

แพทย์อาจสอบถามลักษณะอาการที่เกิดขึ้น ระยะเวลาที่เกิดอาการ ประวัติการบาดเจ็บบริเวณดวงตา การใส่คอนแทคเลนส์ จากนั้นแพทย์อาจวินิจฉัยด้วยวิธีต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น 

  • ตรวจบริเวณเปลือกตา เยื่อบุตา กระจกตารวมถึงปฏิกิริยาในการตอบสนองต่อแสง ขนาดรูม่านตา การเคลื่อนไหวของดวงตา และความสามารถในการมองเห็น
  • ใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจตาชนิดลำแสงแคบ หรือ Slit Lamp ซึ่งช่วยขยายภาพหรือความผิดปกติที่จอประสาทตา
  • ใช้สารเรืองแสง (Fluorescent Dye) ก่อนการตรวจตาด้วยกล้อง Slit Lamp เพื่อให้มองเห็นบริเวณที่เกิดอาการได้ชัดเจนขึ้น
  • เก็บตัวอย่างขี้ตาหรือน้ำตาในการตรวจหาเชื้อเพิ่มเติม

การรักษาอาการแสบตา

การรักษาอาจแตกต่างกันไปตามสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น ผู้ป่วยสามารถใช้วิธีการรักษาด้วยตนเองในเบื้องต้น หรือปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

การดูแลตนเอง

การบรรเทาอาการแสบตาอาจทำได้โดย

  • ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ
  • ประคบเย็นบนดวงตาเพื่อลดอาการคัน
  • ประคบร้อนบริเวณดวงตา และใช้สำลีจุ่มแชมพูเด็ก เพื่อเช็ดทำความสะอาดคราบบริเวณเปลือกตา 
  • หยอดน้ำตาเทียม เพื่อบรรเทาอาการตาแห้ง แสบ คัน และระคายเคือง
  • หากผู้ป่วยมีโรคภูมิแพ้ให้หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ เช่น ละอองจากต้นไม้ ขนสัตว์ และเครื่องสำอาง
  • ผู้ที่มีอาการตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบจากเชื้อไวรัส ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาข้างที่ไม่มีการอักเสบ เนื่องจากอาจทำให้การอักเสบลุกลามได้

การรักษาโดยการแพทย์

การรักษาอาการมักขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหาที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยแต่ละคน กรณีมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา ให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องและปลอดภัย

นอกจากนี้ แพทย์อาจจ่ายยาต่าง ๆ เพื่อรักษาอาการแสบตา ขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ เช่น

  • ยาแก้แพ้ (Antihistamine) ให้กับผู้มีอาการแสบตาจากภูมิแพ้
  • ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) และยากลุ่มสเตียรอยด์ (Steroid) สำหรับผู้ที่มีอาการจากการติดเชื้อแบคทีเรีย 
  • ยาหยอดตากลุ่มต้านไวรัส (Antiviral) หรือขี้ผึ้งทาตาสำหรับการติดเชื้อจากไวรัส แต่โดยส่วนใหญ่อาการติดเชื้อจากไวรัสมักบรรเทาได้เองภายใน 2–3 สัปดาห์
  • ยาหยอดตากลุ่มสารหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตา (Lubricant) มักใช้เพื่อรักษาอาการตาแห้ง

โดยทั่วไป หากผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ จะทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นและหายเป็นปกติได้ในเวลา 1–2 สัปดาห์ เว้นแต่ในกรณีที่มีอาการเรื้อรังหรือตาแห้งร่วมด้วย

การป้องกันอาการแสบตา

การป้องกันและรักษาดวงตาคือ วิธีการที่ช่วยไม่ให้เกิดปัญหาในการมองเห็นหรือการสูญเสียการมองเห็นได้ ซึ่งมีวิธีต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอหลังจากสัมผัสดวงตา
  • หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งต่าง ๆ ร่วมกับผู้มีดวงตาติดเชื้อ เช่น ชุดเครื่องนอน คอนแทคเลนส์ แว่นตาหรือแว่นกันแดด ผ้าเช็ดตัว และแปรงแต่งหน้า เป็นต้น
  • หากมีการติดเชื้อ ควรล้างมือภายหลังการสัมผัสดวงตาที่ติดเชื้อ หรือบริเวณอื่น ๆ บนใบหน้าเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
  • สวมแว่นนิรภัยหรือแว่นตาป้องกันขณะเล่นกีฬาหรือทำงานในบริเวณที่มีสารเคมีหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ
  • ทำความสะอาดคอนแทคเลนส์ และตลับคอนแทคเลนส์ให้เหมาะสม ล้างมือให้สะอาดก่อนใส่และถอดคอนแทคเลนส์
  • ไม่ควรไว้เล็บยาว เนื่องจากอาจขีดข่วนคอนแทคเลนส์ขณะใส่และถอดได้
  • ไม่ใช้น้ำยาหยอดตาหรือน้ำยาแช่คอนแทคเลนส์หมดอายุ