ประโยชน์ของ Propolis (โพรพอลิส) หรือสารสกัดจากรวงผึ้งนั้นมีมากมาย โดย Propolis เป็นสารที่ใช้ในการรักษาบาดแผลตั้งแต่สมัยโบราณ เนื่องจากมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านเชื้อโรค และปัจจุบันมีการนำสารสกัด Propolis มาใช้เป็นส่วนประกอบผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ยาสีฟัน และน้ำยาบ้วนปาก รวมทั้งมีการศึกษาเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในด้านอื่น ๆ ด้วย
Propolis เป็นสารเหนียวสีน้ำตาลอมเขียวที่ผึ้งเก็บมาจากส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ เช่น ยางไม้ เกสร และกลีบดอกไม้ ผสมเข้ากับเอนไซม์ในน้ำลายผึ้ง เพื่อนำไปเคลือบปิดช่องโหว่ของรังผึ้ง รักษาอุณหภูมิภายในรัง และป้องกันการบุกรุกจากสัตว์อื่นหรือเชื้อโรคจากภายนอกรัง ประโยชน์ของ Propolis ที่มีต่อสุขภาพของเรามีอะไรบ้างและมีข้อควรรู้ในการใช้อย่างไร บทความนี้รวบรวมข้อมูลเอาไว้แล้ว
ประโยชน์ของ Propolis
Propolis ประกอบด้วยฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มโพลีฟีนอล (Polyphenols) ที่ช่วยยับยั้งและชะลอการเกิดความเสียหายภายในร่างกายและโรคต่าง ๆ นอกจากนี้ Propolis ประกอบด้วยวิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี และแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น แมกนีเซียม แคลเซียม และโพแทสเซียม ทำให้ Propolis อาจมีประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
รักษาบาดแผล
Propolis ประกอบด้วยสารพิโนเซมบริน (Pinocembrin) ซึ่งเป็นฟลาโวนอยด์ชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อโรคและต้านการอักเสบ จึงอาจช่วยในการรักษาบาดแผล โดยผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า Propolis ช่วยรักษาและสมานแผลจากการถูกไฟไหม้ และเร่งการเติบโตของเซลล์ผิวใหม่ จึงทำให้แผลหายเร็วขึ้น
ผลการศึกษาอีกชิ้นได้เปรียบเทียบประสิทธิภาพของการรักษาในผู้ที่มีแผลไฟไหม้ระดับที่ 2 พบว่าการใช้ครีมทาผิวที่มี Propolis เป็นส่วนประกอบให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่ใกล้เคียงกับการใช้ซิลเวอร์ซัลฟาไดอะซีน (Silver Sulfadiazine) ที่เป็นยาทารักษาแผลไฟไหม้ และครีมทาผิวที่มี Propolis อาจช่วยต้านการอักเสบได้ดีกว่าซิลเวอร์ซัลฟาไดอะซีนอีกด้วย
ดีต่อสุขภาพช่องปาก
Propolis มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย จึงนิยมใช้เป็นส่วนผสมในยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก ซึ่งผลการศึกษาพบว่า Propolis ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของสเตรปโทคอคคัส มิวแทนส์ (Streptococcus Mutans) แบคทีเรียที่มีส่วนทำให้เกิดฟันผุ นอกจากนี้ Propolis ยังอาจช่วยลดการเกิดคราบพลัค (Plaque) หรือคราบจุลินทรีย์บนผิวฟัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) อีกด้วย
บรรเทาอาการของโรคในระบบทางเดินอาหาร
Propolis ประกอบด้วยกรดคาเฟอิกฟีเนทิลเอสเทอร์ (Caffeic Acid Phenethyl Ester: CAPE) กาแลนจิน (Galangin) อาร์เทพิลลิน ซี (Artepillin C) และแคมเฟอรอล (Kaempferol) ซึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งการต่อต้านเชื้อโรค จึงอาจช่วยรักษาความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคลำไส้อักเสบ และแผลในกระเพาะอาหาร
Propolis อาจช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียเอชไพโลไร (H. Pylori) อันเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคกระเพาะและแผลในกระเพาะอาหาร ผลการศึกษาบางส่วนยังระบุว่าการรับประทาน Propolis อย่างเดียวหรือรับประทานร่วมกับน้ำผึ้ง อาจช่วยบรรเทาอาการของโรคกระเพาะและแผลในกระเพาะอาหารได้
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคที่ส่งผลให้การทำงานของฮอร์โมนและการดูดซึมน้ำตาลของร่างกายผิดปกติ โดยร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่ออินซูลิน (Insulin) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ผลการวิจัยบางส่วนระบุว่า Propolis ช่วยควบคุมระดับอินซูลินในเลือดของสัตว์ทดลอง จึงคาดว่า Propolis อาจเป็นประโยชน์ต่อการรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคตได้
คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของ Propolis อาจช่วยลดภาวะแทรกซ้อนและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (Fasting Blood Glucose) และระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1c) ในสัตว์ทดลองที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วย
เช่นเดียวกับผลการศึกษาอีกชิ้นพบว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Propolis อาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหารและเครื่องดื่มอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนการตรวจได้ดี
อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยในข้างต้นบางส่วนเป็นการทดลองในสัตว์หรือเป็นงานวิจัยในกลุ่มตัวอย่างจำนวนไม่มาก จึงต้องการผลการศึกษาเพิ่มเติมก่อนยืนยันประสิทธิภาพของ Propolis
Propolis ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย
Propolis สามารถหาซื้อได้ทั่วไปในร้านขายยาหรือร้านขายผลิตภัณฑ์สุขภาพ มีอยู่หลายรูปแบบ ทั้งครีม โลชั่น ขี้ผึ้งสำหรับทาผิว สเปรย์พ่นคอ หรือชนิดรับประทานในรูปแบบเม็ด แคปซูล และสารสกัดชนิดน้ำ
ทางองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) ยังไม่มีการกำหนดปริมาณการรับประทานที่แนะนำเนื่องจากยังขาดข้อมูลการวิจัยที่เพียงพอ จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้หรือรับประทาน Propolis เพื่อความปลอดภัย
ผู้ที่มีอาการแพ้ผึ้งหรือผลิตภัณฑ์จากผึ้ง เช่น น้ำผึ้ง ควรระมัดระวังการใช้ Propolis เนื่องจาก Propolis อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ โดย Propolis ในผลิตภัณฑ์ทาผิว เครื่องสำอาง ยาสีฟัน และน้ำยาบ้วนปาก อาจทำให้เกิดผื่นคัน บวมแดง แสบร้อน ผิวหนังและบริเวณรอบปากลอกเป็นขุย บางคนอาจมีอาการบวมที่ใบหน้า ลิ้น และลำคอ หรือหายใจลำบาก
ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติและผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัด ไม่ควรใช้ Propolis ก่อนการผ่าตัด 2 สัปดาห์ เพราะสารเคมีบางชนิดใน Propolis อาจทำให้เลือดหยุดไหลช้าลงและเลือดไหลไม่หยุด ส่วนผู้ที่เป็นโรคหืด โรคภูมิแพ้ หรือมีโรคประจำตัวอื่น ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เนื่องจาก Propolis อาจกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคดังกล่าว
ผู้ที่ตั้งครรภ์ไม่ควรใช้ Propolis เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลยืนยันความปลอดภัยในการใช้ต่อสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์ สำหรับผู้ที่กำลังให้นมบุตรสามารถรับประทาน Propolis ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความจำเป็นและปริมาณในการรับประทานที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ
Propolis เป็นผลผลิตจากธรรมชาติจากผึ้งที่นำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาบาดแผลและต้านการอักเสบของร่างกายตั้งแต่สมัยโบราณ อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ Propolis ต่อการรักษาโรคต่าง ๆ ในปัจจุบันมีจำกัด จึงต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมต่อไป ผู้ที่จะใช้ประโยชน์ของ Propolis ควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ