เริมที่อวัยวะเพศชายเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (HSV) ชนิดที่ 1 หรือ 2 และอาจก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น มีตุ่มน้ำหรือแผลเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศชาย ถุงอัณฑะ หรือทวารหนัก โดยอาการเหล่านี้มักดีขึ้นได้เอง อย่างไรก็ตาม เริมที่อวัยวะเพศชายยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้และอาจกลับมาเป็นซ้ำอีกได้
เริมสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง น้ำลาย หรือการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก ช่องคลอดหรือทวารหนักกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสโดยไม่ป้องกัน นอกจากนี้ เริมที่อวัยวะเพศชายอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองและเนื้อสมองอักเสบ (Meningoencephalitis) อวัยวะเพศอักเสบ และเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อี่น ๆ เช่น เอชไอวี (HIV)
อาการของเริมที่อวัยวะเพศชาย
อาการของเริมในเพศชายมักแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางรายอาจไม่แสดงอาการหรือแสดงอาการไม่ชัดเจน บางรายอาจมีอาการเริมที่อวัยวะเพศชายอย่างรุนแรง ทั้งนี้ เริมในเพศชายอาจแสดงอาการภายใน 2–14 วันหลังจากได้รับเชื้อ ซึ่งอาการเริมที่อวัยวะเพศชายมีดังนี้
- เจ็บหรือคันบริเวณอวัยวะเพศชาย
- มีตุ่มน้ำขนาดเล็กสีขาว สีเหลือง หรือสีแดงขึ้นบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก
- มีรอยแผลเกิดขึ้นเมื่อตุ่มน้ำแตกและแผลอาจตกสะเก็ดเมื่อเริ่มดีขึ้น
- เจ็บแสบขณะปัสสาวะ
- มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ปวดหัวและปวดเมื่อยตามตัว
- ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบบวม
อาการเริมที่อวัยวะเพศชายมักดีขึ้นเมื่อผ่านไปประมาณ 2–4 สัปดาห์ และอาการอาจกลับมาเป็นได้อีกครั้ง หากถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยต่าง ๆ เช่น ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เจ็บป่วย ความเครียด การเสียดสีบริเวณอวัยวะเพศ การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ โดยอาจมีอาการต่าง ๆ เป็นสัญญาณเตือนก่อนเริมที่อวัยวะเพศชายจะกลับมาเป็นซ้ำ เช่น คันหรือเจ็บแปลบบริเวณที่เคยมีอาการเริม และปวดร้าวลงหลังขาหรือก้น
วิธีการรับมือเริมที่อวัยวะเพศชาย
หากสังเกตเห็นอาการเริมที่อวัยวะเพศชาย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ถึงแม้ว่าเริมจะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้ แต่การกินยาต้านไวรัส เช่น ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ยาแฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir) และ ยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) อาจช่วยชะลอการแพร่กระจายของไวรัส ลดจำนวนในการกลับมาเป็นเริมที่อวัยวะเพศชายซ้ำ และลดความเสี่ยงในการส่งต่อเชื้อให้แก่ผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม หากเริมที่อวัยวะเพศชายกำลังแสดงอาการ อาจดูแลตัวเองด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บหรือบรรเทาความรุนแรงของอาการได้ โดยวิธีการดูแลตัวเองมีดังนี้
- กินยาแก้ปวด เช่น ยาแอสไพริน (Aspirin) ยาอะเซตามิน (Acetaminophen) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
- นำผ้าสะอาดห่อน้ำแข็งและประคบเย็นบริเวณที่เป็นเริม เพื่อลดอาการเจ็บหรืออักเสบบริเวณอวัยวะเพศ
- รักษาบริเวณที่เป็นเริมให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ
- ล้างแผลด้วยน้ำอุ่นผสมเกลือวันละ 2 ครั้ง
- ใส่กางเกงชั้นในที่หลวมเพื่อให้แผลเริมที่อวัยวะเพศมีอากาศถ่ายเทและป้องกันการอับชื้น
- ล้างมือทุกครั้งหลังจากสัมผัสเริมที่อวัยเพศชาย เพื่อป้องกันการส่งต่อเชื้อให้แก่ผู้อื่น
- หากเริมที่อวัยวะเพศชายกำลังแสดงอาการหรือรู้สึกเหมือนเริมกำลังจะกลับมาเป็นซ้ำ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ การจูบ หรือการสัมผัสน้ำลายเพราะอาจแพร่กระจายเชื้อให้แก่ผู้อื่นได้
ทั้งนี้ ผู้ที่มีเชื้อเริมในร่างกายแต่ไม่แสดงอาการยังคงมีโอกาสในการส่งต่อเชื้อให้แก่ผู้อื่นได้ ถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อต่ำ แต่ควรป้องกันโดยการใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งก่อนมีเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม การใส่ถุงยางอนามัยอาจไม่ช่วยป้องกันการติดโรคเริมที่อวัยวะเพศได้ทั้งหมด เพราะการสัมผัสโดนบริเวณที่ถุงยางอนามัยไม่ครอบคลุมอาจยังมีความเสี่ยงในการติดเริมที่อวัยวะเพศได้
เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายอาจสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสมากขึ้นและอาจส่งผลให้โรคเริมที่อวัยวะเพศชายกลับมาเป็นซ้ำได้น้อยลง ดังนั้น ควรรักษาร่างกายให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกายและกินอาการที่มีประโยชน์ หากเริมกลับมาเป็นซ้ำบ่อยครั้งหรือมีอาการรุนแรงยิ่งขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป