การกักตัวและ Work from home ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 อาจทำให้หลายคนมีเวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ กันมากขึ้น ทั้งการสร้างสรรค์เมนูอาหาร งาน DIY การปลูกต้นไม้ หรือการออกกำลังกาย จนทำให้บางครั้งเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นรอยมีดบาดหรือแผลไหม้จากการทำอาหารทำให้เกิดเป็นแผลและอาจกลายเป็นรอยแผลเป็นที่เป็นอุปสรรคต่อความสวยงามตามมา
รอยแผลเป็นเกิดจากกระบวนการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อเมื่อเกิดการบาดเจ็บของผิวหนังชั้นนอกจากสาเหตุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแผลอุบัติเหตุ แผลไฟไหม้ร้อนลวก โดยร่างกายจะสร้างคอลลาเจนเพื่อสมานบาดแผล เมื่อแผลหายจึงเหลือร่องรอยทิ้งไว้หรือแผลเป็นนั่นเอง แต่หากร่างกายสร้างคอลลาเจนมากเกินไปก็อาจทำเกิดแผลเป็นชนิดนูน (Hypertrophic Scars) ได้
รอยแผลเป็นมักมีลักษณะที่ต่างจากผิวหนังปกติ โดยผิวหนังที่เป็นแผลเป็นอาจมีลักษณะแห้ง ด้าน แข็ง ตึง ระคายเคืองง่าย และมีสีที่ต่างออกไป ทำให้สังเกตเห็นได้ง่าย แผลเป็นมีอยู่หลายชนิดและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อีกทั้งยังส่งผลต่อความมั่นใจ ดังนั้น การป้องกันรอยแผลและรู้จักวิธีลดรอยแผลเป็นจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรรู้ โดยเฉพาะในช่วงเฝ้าระวังการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีการทำกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างกักตัวในบ้าน
รู้จักวิธีรักษาและลดรอยแผลเป็น
แม้ว่ารอยแผลเป็นอาจจางลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่หากดูแลอย่างถูกวิธีหรือมีตัวช่วยก็อาจช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงได้เร็วขึ้น โดยอาจรักษาได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
-
ครีมและเจลทาแผลเป็น
ครีมและเจลทาแผลเป็นสามารถหาซื้อได้ทั่วไป มักมีส่วนประกอบของสารที่ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิว อย่างวิตามินอีหรือสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น หัวหอม โกโก้บัตเตอร์ (Cocoa Butter) โดยช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นบริเวณรอยแผลเป็น ทำให้รอยแผลเป็นมีสัมผัสที่นุ่มขึ้น และช่วยต้านการอักเสบ เนื่องจากผิวหนังบริเวณแผลเป็นที่เพิ่งหายจากการบาดเจ็บมักแพ้ง่าย การรักษาด้วยครีมอาจใช้เวลารักษาหลายเดือน อย่างไรก็ตาม สารสกัดเหล่านี้อาจให้ผลแตกต่างกันในผู้ใช้แต่ละคนและอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองในบางราย
-
เจลซิลิโคนลดรอยแผลเป็น
เจลลดรอยแผลเป็นแบบซิลิโคนหาซื้อได้ทั่วไปเช่นกัน สามารถใช้ได้ตั้งแต่ช่วงที่แผลเริ่มตกสะเก็ด ซึ่งอาจช่วยลดการเกิดแผลเป็น ลดขนาดของแผลเป็น เพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหนัง และช่วยให้แผลเป็นนิ่มขึ้น โดยควรเลือกเจลลดรอยแผลเป็นที่มีสารประเภทวิตามินซีเป็นส่วนประกอบ เพราะจากการศึกษาพบว่าวิตามินซีมีสรรพคุณช่วยในการสมานแผล ยับยั้งการสร้างเม็ดสี ต้านการอักเสบ บวมแดง และช่วยลดการเกิดรอยแผลเป็นได้ สามารถใช้ได้กับแผลเป็นธรรมดาและแผลเป็นนูน
โดยเจลซิลิโคนรักษาแผลเป็นบางยี่ห้อมีการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยให้เจลซิลิโคนสามารถกันน้ำได้ ถ้าหากโดนมีดบาดจากการทำครัวและแผลเริ่มตกสะเก็ดก็เพียงปาดเจลซิลิโคนลงบนผิวโดยไม่ต้องนวดหรือถูซ้ำ โดยเจลจะทำหน้าที่กันน้ำและยังคงสภาพการออกฤทธิ์ จึงอาจช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาแผลเป็น ควรเลือกเจลลดรอยแผลเป็นที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่แผลเริ่มตกสะเก็ดเพื่อประสิทธิภาพในการลดรอย และมีความอ่อนโยนต่อผิว เพราะผิวหนังที่สร้างใหม่มักไวต่ออาการแพ้ นอกจากนี้ ควรใช้ติดต่อกันเป็นประจำอย่างน้อย 2-3 เดือน และใช้ต่อไปเรื่อย ๆ หากรอยแผลเป็นสามารถจางลงได้อีก นอกจากแบบเจลแล้ว ยังมีแผ่นแปะซิลิโคนสำหรับรักษารอยแผลเป็นด้วย แต่อาจต้องแปะไว้กับผิวตลอด
นอกจากนี้ ยังมีวิธีลดรอยแผลเป็นแบบอื่น ๆ ที่แพทย์อาจแนะนำแตกต่างกันไปตามชนิดของแผล
-
การฉีดสาร
หากลองใช้ยาทารอยแผลเป็นติดต่อกันแล้ว แผลเป็นยังไม่จางลง แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดสารทางการแพทย์ อย่างสเตียรอยด์เพื่อต้านการอักเสบและทำให้แผลเป็นยุบลง สาร 5-Fluorouracil หรือยาบลีโอมัยซิน (Bleomycin) ที่ช่วยลดขนาดคีลอยด์และลดอาการคัน รวมถึงฟิลเลอร์ (Filler) ที่ช่วยเติมแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นหลุมยุบลงไปในผิว แต่การฉีดฟิลเลอร์อาจให้ผลลัพธ์แบบชั่วคราวเท่านั้น ส่วนการใช้สเตียรอยด์ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง อย่างอาการบวมแดงหรือกลับมาเป็นคีลอยด์ซ้ำได้ โดยการฉีดสารเหล่านี้อาจใช้ร่วมกับการรักษาแผลเป็นแบบอื่น
-
การผ่าตัด
การผ่าตัดเพื่อลดรอยแผลเป็นทำได้ด้วยกันหลายวิธี เช่น การปลูกถ่ายกราฟต์ผิวหนัง (Skin Graft) โดยใช้เซลล์ผิวหนังอื่นมาปลูกทดแทน การตัดเนื้อส่วนเกินเพื่อลดอาการตึงของผิวหนังและลดขนาดของแผลเป็น การขัดผิวหนังให้ผิวมีลักษณะเรียบเสมอกับผิวปกติ (Dermabrasion) รวมไปถึงการผ่าตัดด้วยเลเซอร์ที่อาจช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็นและลดขนาดของรอยแผลเป็นเดิม ช่วยให้แผลเป็นอ่อนนุ่มและยืดหยุ่นมากขึ้น รวมทั้งช่วยลดอาการปวดและคันบริเวณดังกล่าวด้วย
การผ่าตัดเพื่อลดรอยแผลเป็นมักไม่ต้องนอนพักรักษาตัว แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอย่างอาการปวดและบวมแดงได้ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาวิธีที่เหมาะสมสำหรับชนิดของรอยแผลเป็นและความรุนแรงของบาดแผล
เคล็ดลับป้องกันรอยแผลเป็น
โดยทั่วไปแล้ว แผลเป็นมักจะสามารถป้องกันได้ หากรู้จักวิธีการดูแลและรักษาหลังเกิดบาดแผลใหม่ ดังนี้
1. รักษาความสะอาดของบาดแผล
ควรรักษาความสะอาดของบาดแผลอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสียหายของเนื้อเยื่อบริเวณบาดแผล และป้องกันบาดแผลติดเชื้อโรค ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็นหรือความรุนแรงของรอยบาดแผลได้ โดยการรักษาความสะอาดสามารถทำได้ด้วยการล้างแผลอย่างถูกวิธี ล้างมือเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแผล หรือใช้แผ่นปิดแผลเพื่อป้องกันเชื้อโรค
2. ห้ามแกะและเกาแผล
เมื่อแผลแห้งและเริ่มตกสะเก็ดมักมีอาการคันตามมา ซึ่งการแกะเกาอาจทำให้เนื้อเยื่อที่กำลังสมานเสียหายและอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นได้ง่ายขึ้น อีกทั้งซอกเล็บมักมีเชื้อโรคสะสม จึงอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้หากแผลยังไม่สมานกันดีก็อาจให้ผิวทำหนังติดเชื้อได้ นอกจากนี้ อาจใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็นหลังจากแผลหายดีก็อาจช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงได้เร็วขึ้น
3. ไปโรงพยาบาลเมื่อเกิดบาดแผลรุนแรง
บาดแผลรุนแรง อย่างแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลลึก แผลอุบัติเหตุ รอยกัด หรือแผลขนาดใหญ่จากสาเหตุอื่นมักเสี่ยงต่อการติดเชื้อและเกิดรอยแผลเป็นได้มากกว่าแผลขนาดเล็ก โดยแผลเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการพยาบาลโดยแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ซึ่งแพทย์สามารถให้คำปรึกษาที่ถูกต้องในการดูแลแผล ไปจนถึงวิธีที่ช่วยลดการเกิดรอยแผลเป็น
การป้องกันการเกิดแผลเป็นที่ดีที่สุดคือการมีสติและใช้ความระมัดระวังในการทำสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกักตัวที่หลายคนโชว์สกิลการทำอาหารกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการหั่นวัตถุดิบ การทอดอาหาร การทำขนม ไปจนถึงกิจกรรมอื่น ๆ อย่างการออกกำลังกาย และการใช้ของมีคม โดยจากการมีสติแล้ว ควรหมั่นตรวจความพร้อมของอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อป้องกันอุบัตเหตุที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อความมั่นใจ ควรมีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลและเจลลดรอยแผลเป็นหรือผลิตภัณฑ์ลดรอยอื่น ๆ ติดบ้านไว้เพื่อความสะดวกเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ทุกคนกักตัวอยู่บ้านอย่างสบายใจ ไร้รอยแผลเป็นมากวนใจแล้ว
สุดท้ายนี้ การรักษารอยแผลเป็นด้วยวิธีการต่าง ๆ นั้นอาจให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดรอยแผลเป็นด้วย และหากมีโรคผิวหนังหรืออาการแพ้ต่อสารบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ สำหรับใครที่ไม่ได้มีอาการแพ้หรือเป็นโรคผิวหนังอาจลองเลือกซื้อเจลลดรอยแผลเป็นจากร้านขายยาหรือร้านค้าทั่วไปมาใช้กันได้