Biofeedback เป็นเทคนิคที่ฝึกให้ผู้ป่วยควบคุมร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมของตนเอง เพื่อช่วยบรรเทาอาการของโรคหรือปัญหาสุขภาพ โดยสามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงจากสัญญาณชีพ (Vital Signs) ของร่างกาย อย่างอัตราการเต้นของหัวใจ คลื่นไฟฟ้าสมอง การเคลื่อนไหวของมัดกล้ามเนื้อ หรืออุณหภูมิร่างกาย
Biofeedback อาจเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังหลายชนิด อย่างปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ท้องผูก ไปจนถึงถึงโรครุนแรงอย่างอาการทางจิตและโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้ Biofeedback ยังอาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการฝึกพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเพื่อรักษาสุขภาพด้วย
ประโยชน์และข้อจำกัดของ Biofeedback
Biofeedback จัดเป็นขั้นตอนทางการแพทย์แบบ Non-Invasive หรือขั้นตอนที่ไม่รุกล้ำร่างกาย มีความปลอดภัย ไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดใด ๆ ซึ่งประโยชน์หลักของ Biofeedback ได้แก่
- ลดความรุนแรงของอาการ
- ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
- ลดการใช้ยา และเพิ่มประสิทธิภาพของยา
ประโยชน์หลักของ Biofeedback ทั้งสองข้อนี้อาจส่งผลดีอย่างมากในผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องใช้ยาเป็นประจำ ทั้งในแง่ของสุขภาพ ค่าใช้จ่าย และการใช้ชีวิต อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อคุณแม่ที่กำลังครรภ์และอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถใช้ยาเพื่อรักษาได้
อย่างไรก็ตาม การฝึก Biofeedback ไม่ครอบคลุมสำหรับทุกการเจ็บป่วย และอาจให้ผลแตกต่างกันไปในแต่ละคน จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัวหรืออยู่ระหว่างการรักษาโรคด้วยวิธีอื่นอยู่
ขั้นตอน Biofeedback เป็นอย่างไร?
Biofeedback ทำได้หลากหลายรูปแบบและหลายวิธี ขึ้นอยู่กับปัญหาสุขภาพของผู้ป่วย โดยแพทย์จะเป็นผู้แนะนำรูปแบบที่เหมาะสม และนักบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านจะเป็นผู้ดำเนินการ ปกติแล้วการทำ Biofeedback ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรล่วงหน้า ถ้าหากต้องมีการเตรียมตัว แพทย์และนักบำบัดจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
สัญญาณชีพที่สามารถวัดได้จากการทำ Biofeedback เช่น
- อัตราการเต้นของหัวใจ
- การหายใจ
- การตึงตัวของกล้ามเนื้อ
- การทำงานของต่อมเหงื่อ
- อุณหภูมิร่างกาย
- คลื่นสมองหรือคลื่นไฟฟ้าสมอง
นอกจากนี้นักบำบัดอาจวัดสัญญาณชีพอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้วัดแต่ละจุดอาจแตกต่างกันไปตามอวัยวะแต่ละส่วนและสัญญาณชีพที่ต้องการวัด แต่ส่วนใหญ่มักใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า แผ่นอิเล็กโทรด (Electrodes) ที่มีลักษณะเป็นแผ่นกลมแบนและมีสายต่อกับเครื่องแปลงผล นอกจากแผ่นอิเล็กโทรดแล้ว นักบำบัดอาจใช้อุปกรณ์อื่น เช่น เครื่องตรวจจับการเคลื่อนไหวร่างกาย เครื่องวัดแรงกด (Force Plate Sensors) เครื่องอัลตราซาวด์ และการส่องกล้อง (Endoscopy)
Biofeedback มีขั้นตอนดังนี้
- ขั้นแรก นักบำบัดจะใช้อุปกรณ์วัดสัญญาณชีพติดตามร่างกาย โดยอาจติดส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนพร้อมกัน
- สัญญาณชีพที่วัดได้จะแสดงผลในหน้าจอเพื่อให้ผู้เข้ารับการบำบัดและนักบำบัดเห็นลักษณะของสัญญาณชีพที่ส่งผลให้เกิดอาการ หากสัญญาณชีพส่วนที่ตรวจจับทำงานหนัก เกร็ง หรืออยู่ในสภาวะที่ผิดปกติ เครื่อง Biofeedback จะมีไฟขึ้นหรือส่งเสียงร้องเพื่อเตือนให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย
- นักบำบัดจะสอนผู้ป่วยเกี่ยวกับวิธีควบคุมร่างกาย ความคิด และพฤติกรรมเพื่อปรับสัญญาณชีพให้ปกติ เช่น หากผู้ป่วยมีอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง นักบำบัดจะบอกวิธีที่ช่วยลดอาการตึงของกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวและให้ผู้ป่วยลองฝึก โดยในระหว่างฝึก นักบำบัดและผู้ป่วยจะเห็นสัญญาณชีพที่เปลี่ยนแปลงไปตามการฝึก ทำให้ผู้ป่วยสามารถเรียนรู้และเข้าใจการทำงานของร่างกายมากขึ้น
นอกจากที่ได้ยกตัวอย่างไป Biofeedback ยังมีวิธีการฝึกแบบอื่น ๆ ที่นักบำบัดอาจแนะนำให้ผู้ป่วยทดลองฝึก เช่น การฝึกเกร็งและคลายกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ การทำสมาธิเพื่อควบคุมอารมณ์และความคิด การหักเหความสนใจจากสิ่งกระตุ้นด้วยการจินตนาการถึงสี เสียง หรือบรรยากาศที่ทำให้คลื่นสมองและอารมณ์ของผู้ป่วยคงที่ เป็นต้น
โดยปกติ Biofeedback ใช้เวลาราว 30-60 นาทีต่อการฝึก 1 ครั้ง ซึ่งจำนวนครั้งและระยะเวลาอาจขึ้นอยู่กับชนิดของการเจ็บป่วย และพัฒนาการในการควบคุมร่างกายของผู้ป่วย เพราะความสำเร็จและจุดประสงค์ของการฝึกนี้ คือ ผู้ป่วยสามารถเข้าใจกลไกการทำงานของร่างกาย สามารถควบคุมและจับจุดได้เองที่บ้านโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์วัดสัญญาณชีพ
ปัญหาสุขภาพที่ Biofeedback อาจช่วยได้
แม้ว่า Biofeedback อาจไม่ครอบคลุมทุกโรค แต่ผู้ป่วยโรคต่อไปนี้สามารถฝึก Biofeedback เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
- อาการปวดเรื้อรังและโรคที่ทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรัง เช่น อาการปวดท้องเรื้อรัง อาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง โรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) ภาวะความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกร (Temporomandibular Joint Disoder) เป็นต้น
- โรควิตกกังวลและโรคเครียด
- โรคหืดหอบ (Asthma)
- โรคสมาธิสั้น (ADHD)
- ท้องผูก ภาวะกลั้นอุจจาระไม่ได้ และภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้
- อาการปวดศีรษะ และปวดไมเกรน
- ภาวะความดันโลหิตสูง
- โรคลำไส้แปรปรวน (IBS)
- โรคเรเนาด์หรือโรคที่หลอดเลือดหดตัวจากความเครียดและความเย็น
- อาการหูอื้อหรือได้ยินเสียงในหู
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคลมชัก
นอกจากนี้อาจมีโรคอื่น ๆ ที่ Biofeedback อาจช่วยควบคุมอาการได้ แต่ Biofeedback ไม่ใช่วิธีการรักษาหลัก โดยอาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายขั้นตอนการรักษาที่แพทย์อาจแนะนำเพื่อช่วยลดความรุนแรงของอาการและความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เสริมประสิทธิภาพในการใช้ยา และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยเท่านั้น
ดังนั้นผู้ป่วยควรเริ่มโดยการเข้ารับการตรวจจากแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ และเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการหลัก หากแพทย์เห็นว่า Biofeedback อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับขั้นตอนดังกล่าว
สุดท้ายนี้ผู้ป่วยควรเข้ารับการฝึก Biofeedback ตามที่นักบำบัดแนะนำเพื่อฝึกการควบคุมร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้ป่วยเอง