Hyaluronic Acid หรือกรดไฮยาลูรอนิคที่หลายคนอาจเคยเห็นผ่านตา เพราะเป็นส่วนประกอบสำคัญที่พบได้จากข้างบรรจุภัณฑ์ของครีมบำรุงผิวต่าง ๆ ซึ่งไม่เพียงดีต่อสุขภาพผิวหนังเท่านั้น แต่สารนี้ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น ช่วยสมานแผล บรรเทาการเจ็บป่วยต่าง ๆ จากกรดไหลย้อน อาการปวดข้อ และอาการตาแห้ง ป้องกันการปวดกระเพาะปัสสาวะ หรืออาจช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้ เป็นต้น กรดชนิดนี้มีลักษณะอย่างไร และควรใช้แบบใดจึงจะปลอดภัย ศึกษาได้จากบทความนี้
ทำความรู้จักกับ Hyaluronic Acid
Hyaluronic Acid หรืออาจรู้จักกันในชื่อ Hyaluronan เป็นสารประกอบประเภทพอลิแซ็กคาไรด์ มีลักษณะใสและเหนียว ร่างกายสามารถผลิตสารนี้ขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ ทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นและช่วยลดแรงกระแทกบริเวณกระดูกข้อต่อ ทั้งยังช่วยกักเก็บน้ำภายในเนื้อเยื่อเพื่อรักษาความชุ่มชื้นและช่วยให้ร่างกายอิ่มน้ำตลอดเวลา โดยพบได้มากบริเวณผิวหนัง ดวงตา ข้อต่อ รวมถึงเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทั่วร่างกาย
ประโยชน์ของ Hyaluronic Acid
- ช่วยให้ผิวเนียนนุ่มและมีสุขภาพดี เพราะสารนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวดูดความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง กักเก็บน้ำไว้บนผิวเพื่อให้ผิวชุ่มชื่นตลอดเวลา อีกทั้งยังมีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid อาจช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่ม ไม่แห้งแตก ลดเลือนริ้วรอย และยังช่วยให้ผิวหนังกระชับขึ้นได้ด้วย ทั้งนี้ Hyaluronic Acid ที่มีโมเลกุลขนาดเล็กจะซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดีกว่า และหากใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 1 เดือน จะช่วยให้ผิวกระชับขึ้นได้ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ และยังส่งผลให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้นและผิวละเอียดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังใช้ไปแล้ว 60 วัน
- รักษาตาต้อกระจก การฉีด Hyaluronic Acid เข้าที่ตาโดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั้น ค่อนข้างได้ผลดีในการรักษาตาต้อกระจก
- รักษาแผลในปาก การทาเจลที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid นั้นค่อนข้างมีประสิทธิภาพในการรักษาแผลในปาก
- ช่วยสมานแผลและบรรเทาอาการแผลไฟไหม้ ระดับความเข้มข้นของ Hyaluronic Acid ที่อยู่ในร่างกายจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเกิดแผล จากนั้นจะควบคุมความรุนแรงของการอักเสบที่เกิดขึ้น และจะส่งสัญญาณให้ร่างกายสร้างหลอดเลือดรอบ ๆ บริเวณแผล หากใช้สารนี้ทาลงไปบริเวณที่เกิดแผลก็อาจช่วยลดขนาดของบาดแผล บรรเทาอาการปวด และอาจช่วยบรรเทาอาการของแผลไฟไหม้ได้ด้วย อีกทั้งสารนี้ยังมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และช่วยเร่งให้บาดแผลหายเร็วขึ้นได้
- บรรเทาอาการปวดข้อจากข้อเสื่อม โดยปกติแล้วร่างกายจะผลิต Hyaluronic Acid ขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นและลดแรงกระแทกบริเวณข้อต่อ แต่หากระหว่างกระดูกข้อต่อมีสารหล่อลื่นน้อยก็จะทำให้กระดูกเสียดสีกันจนเป็นเหตุให้เกิดอาการปวดได้ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรคข้อกระดูกอักเสบที่รับประทานอาหารเสริม Hyaluronic Acid วันละ 80-200 มิลลิกรัม เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน มีอาการปวดหัวเข่าลดลงและอาจช่วยบรรเทาอาการข้อติดได้ในระดับปานกลาง หรือหากนำสารนี้ไปฉีดที่ข้อต่อก็สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อสุขภาพตามมาได้เช่นกัน
- บรรเทาอาการจากกรดไหลย้อน จากการค้นคว้าระบุว่าการรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid ร่วมกับคอนดรอยตินซัลเฟตและยาลดกรดนั้น ช่วยลดอาการจากกรดไหลย้อนได้ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงยังช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเยื่อบุหลอดอาหารในผู้ป่วยบางรายได้ด้วย
- บรรเทาอาการตาแห้ง สารนี้อาจช่วยบรรเทาอาการตาแห้งที่เป็นผลมาจากร่างกายผลิตน้ำตาได้น้อยลงหรือน้ำตาระเหยเร็วเกินไปจากปัจจัยบางอย่าง ซึ่งมีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการใช้ยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid ประมาณ 0.2-0.4 เปอร์เซ็นต์ ช่วยลดอาการตาแห้งและช่วยให้สุขภาพดวงตาดีขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาคอนแทคเลนส์ชนิดที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid เพื่อช่วยรักษาอาการตาแห้งด้วย
- ป้องกันการปวดกระเพาะปัสสาวะ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า Hyaluronic Acid อาจช่วยบรรเทาความเสียหายของเนื้อเยื่อกระเพาะปัสสาวะ และช่วยให้ผู้ป่วยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ติดเชื้อรู้สึกปวดน้อยลงหากสวน Hyaluronic Acid เข้าไปที่กระเพาะปัสสาวะโดยตรง แม้จะยังไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่ามีประสิทธิผลอย่างไรก็ตาม
- ช่วยให้กระดูกแข็งแรง มีการวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของการใช้ Hyaluronic Acid ซึ่งพบว่าสารนี้อาจช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกและอาจกระตุ้นการสร้างเซลล์กระดูกได้ แต่ยังคงเป็นการค้นคว้าในสัตว์ทดลอง จึงจำเป็นต้องศึกษากับมนุษย์เพิ่มเติมให้ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อไป
คำแนะนำในการใช้ Hyaluronic Acid
การใช้ Hyaluronic Acid นั้นค่อนข้างปลอดภัย แต่ผู้ใช้บางรายก็อาจเกิดอาการแพ้หรือผลข้างเคียงได้ จึงควรระมัดระวังหากต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารนี้ หากเป็นครีมบำรุงผิว ควรเลือกใช้ชนิดที่มีความเข้มข้นของ Hyaluronic Acid ต่ำกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง ส่วนการฉีด Hyaluronic Acid เข้าทางผิวหนังหรือบริเวณข้อต่ออาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ ซึ่งมักเป็นผลมาจากขั้นตอนการฉีดสารมากกว่าตัวยาเอง นอกจากนี้ Hyaluronic Acid ที่มีโมเลกุลขนาดเล็กอาจมีสารเคมีอื่น ๆ และแบคทีเรียเจือปนได้ด้วย
ส่วนการรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงกับบุคคลบางกลุ่ม จึงควรระมัดระวังในการใช้มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร เพราะยังไม่มีการศึกษาอย่างละเอียดเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้เป็นแม่และเด็กทารก รวมถึงผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือผู้ที่เคยเป็นโรคมะเร็ง เนื่องจากอาจทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตขึ้นเร็วกว่าปกติ