L-carnitine เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน โดยกล่าวกันว่าช่วยลดน้ำหนักและเสริมสร้างสมรรถภาพการออกกำลังกาย แต่สรรพคุณที่หลายคนพูดถึงกันนั้นจะเชื่อได้จริงหรือไม่ ?
L-carnitine คือกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ร่างกายผลิตขึ้นมาได้เอง ตับและไตจะสร้างสารชนิดนี้ขึ้นจากกรดไลซีน (Lysine) และกรดเมไธโอนีน (Methionine) แล้วเก็บไว้ในกล้ามเนื้อลาย สมอง หัวใจ และอสุจิ มีหน้าที่ลำเลียงกรดไขมันไปยังเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเพื่อนำมาใช้เป็นพลังงาน
การได้รับวิตามินซีในปริมาณเหมาะสมช่วยให้ร่างกายผลิต L-carnitine ได้เพียงพอกับความต้องการ ส่วนการกินเนื้อสัตว์หรือปลาซึ่งอุดมไปด้วย L-carnitine ก็อาจช่วยเพิ่มการได้รับสารอาหารชนิดนี้ในปริมาณเล็กน้อย ผู้ที่กินมังสวิรัติหรือกินเนื้อสัตว์น้อยจึงเสี่ยงได้รับ L-carnitine น้อยกว่าปกติ และจำเป็นต้องใช้อาหารเสริมชนิดนี้ทดแทน ซึ่งนอกจากประโยชน์ในด้านดังกล่าวแล้ว ยังมีการกล่าวอ้างสรรพคุณในการบำรุงและรักษาปัญหาสุขภาพด้านต่าง ๆ ของอาหารเสริม L-carnitine ดังนี้
ลดน้ำหนัก L-carnitine ได้ชื่อว่าเป็นอาหารเสริมช่วยลดน้ำหนัก เนื่องจากมีคุณสมบัติลำเลียงกรดไขมันเข้าไปในเซลล์ของร่างกายแล้วเผาผลาญเป็นพลังงาน ทำให้หลายคนเชื่อว่ากระบวนการดังกล่าวเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันและช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ นอกจากนี้ ยังปรากฏหลักฐานทางวิทยาศาสตร์บางชิ้นชี้ให้เห็นว่าผู้สูงอายุที่ประสบภาวะอ้วนนั้นมีน้ำหนักตัวลดลงหลังกินอาหารเสริม L-carnitine และจากการทบทวนงานวิจัยที่ศึกษาในด้านนี้ พบว่าผู้ที่บริโภคอาหารเสริมดังกล่าวมีน้ำหนักตัวและดัชนีมวลกายลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้บริโภค
อย่างไรก็ตาม กลไกการทำงานของร่างกายมนุษย์นั้นซับซ้อนและมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อน้ำหนักตัว จึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่าการกิน L-carnitine อย่างเดียวจะช่วยลดน้ำหนักได้โดยตรง อีกทั้งงานวิจัยหลายชิ้นยังชี้ให้เห็นว่า L-carnitine ไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักแต่อย่างใด ดังงานวิจัยหนึ่งที่ทดลองให้ผู้ป่วยไตวายกินอาหารเสริม L-carnitine ทุกวัน วันละ 1,000 มิลลิกรัม ติดต่อกัน 12 สัปดาห์ พร้อมเข้ารับการวัดขนาดร่างกายและเซลล์ไขมัน ผลลัพธ์พบว่าผู้ร่วมทดลองไม่ได้มีน้ำหนักตัวหรือดัชนีมวลกาย เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
นอกจากนี้ แม้แต่การใช้ L-carnitine ควบคู่กับการออกกำลังกายก็อาจไม่ได้ช่วยให้น้ำหนักลดลง ดังปรากฏให้เห็นในงานวิจัยที่เปรียบเทียบผลการลดน้ำหนักของผู้หญิงที่กินและไม่ได้กินอาหารเสริม L-carnitine ผลลัพธ์พบว่าผู้หญิงที่ลดน้ำหนักด้วยการกินอาหารเสริม L-carnitine และออกกำลังกายควบคู่กันไปเป็นเวลา 8 สัปดาห์ มีน้ำหนักตัวไม่แตกต่างจากผู้หญิงที่ไม่ได้กินอาหารเสริมชนิดนี้ และบางรายมีอาการท้องร่วงและคลื่นไส้อีกด้วย
เสริมสร้างสมรรถภาพการออกกำลังกาย หลายคนเชื่อว่าการกินอาหารเสริม L-carnitine ก่อนออกกำลังกาย จะช่วยให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น งานวิจัยชิ้นหนึ่งจึงทดลองให้นักฟุตบอลกินอาหารเสริม L-carnitine ปริมาณ 3 กรัม หรือ 4 กรัม ก่อนเริ่มวิ่ง 8 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วต่อด้วยความเร็ว 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผลปรากฏว่านักกีฬาทั้ง 2 กลุ่มต่างวิ่งได้อย่างยาวนานและต่อเนื่อง
นอกจากนี้ มีงานวิจัยบางชิ้นกล่าวว่า L-carnitine อาจช่วยให้ร่างกายลำเลียงออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อและช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ทำให้มีอาการปวดเมื่อยและกล้ามเนื้อระบมหลังออกกำลังกายน้อยลง รวมทั้งช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากการออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ L-carnitine จะช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการออกกำลังกายได้ แต่ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ต่างจากการใช้อาหารเสริมชนิดอื่นอย่างคาเฟอีนหรือครีเอทีนที่ช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพในการเล่นกีฬาได้โดยตรง ที่สำคัญ ผู้ป่วยโรคไตหรือผู้ที่เคยมีอาการชักมาก่อนควรเลี่ยงการใช้อาหารเสริมหรือเครื่องดื่มเกลือแร่ที่มีส่วนผสมของ L-carnitine เนื่องจากอาจส่งผลให้ผู้ป่วยโรคไตมีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง ส่วนผู้ที่เคยชักก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการชักขึ้นอีกได้
บำรุงสุขภาพหัวใจ หลายคนเชื่อว่าอาหารเสริม L-carnitine อาจมีคุณสมบัติในการลดความดันโลหิตและอาการอักเสบอันเกิดจากโรคหัวใจ ซึ่งก็มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ชิ้นหนึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ที่เสี่ยงเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นมีความดันโลหิตลดลงหลังกินอาหารเสริม L-carnitine วันละ 2 กรัม เป็นเวลา 24 สัปดาห์ นอกจากนี้ L-carnitine ยังอาจช่วยให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพหัวใจชนิดรุนแรงมีอาการดีขึ้น เนื่องจากมีงานวิจัยที่ติดตามพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมทดลองเป็นเวลานาน 12 เดือน พบว่าผู้ที่กินอาหารเสริม L-carnitine มีอัตราการเกิดภาวะหัวใจวายและเสียชีวิตลดลงเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้กินอาหารเสริมชนิดนี้
อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ L-carintine สำหรับรักษาปัญหาสุขภาพหัวใจในระยะยาวต่อไป เนื่องจากยังไม่ปรากฏหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวมากพอ อีกทั้งมีงานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม โดยชี้ว่าการกินอาหารเสริม L-carnitine อาจทำให้เสี่ยงป่วยเป็นโรคหัวใจ เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็ง เป็นต้น
ควบคุมเบาหวาน สรรพคุณทางยาอีกอย่างหนึ่งของอาหารเสริม L-carnitine ที่มีการกล่าวถึงคือช่วยบรรเทาอาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งประเด็นนี้มีการศึกษากับผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติและผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยพบว่าการกินอาหารเสริม L-carnitine วันละ 4 กรัม และควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับจากอาหารติดต่อกัน 10 วัน ช่วยให้คนเหล่านี้มีอาการดื้ออินซูลินน้อยลง ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มสูงเกินไป
แม้งานวิจัยบางชิ้นจะแสดงให้เห็นว่า L-carnitine อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพดังกล่าวข้างต้น แต่การกินอาหารเสริม L-carnitine วันละ 3 กรัมขึ้นไป อาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียน เป็นตะคริว และท้องร่วงได้ หรือแม้แต่ผู้ที่กินอาหารเสริมชนิดนี้ในปริมาณประมาณ 2 กรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่ปลอดภัยในระยะยาวก็อาจเกิดผลข้างเคียงเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหารได้เล็กน้อย เช่น รู้สึกคลื่นไส้หรือไม่สบายท้อง ที่สำคัญ L-carnitine เป็นสารอาหารที่พบได้ทั่วไปในเนื้อสัตว์หรือปลา ผู้ที่ไม่ได้กินมังสวิรัติจึงได้รับ L-carnitine ในปริมาณที่เพียงพออยู่แล้ว อีกทั้งร่างกายยังดูดซึม L-carnitine ที่มาจากเนื้อสัตว์และเนื้อปลาได้ดีกว่า L-carnitine ในรูปแบบอาหารเสริม
ใช้ L-carnitine อย่างไรให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ
สำหรับผู้ที่ต้องการกินอาหารเสริม L-carnitine เพื่อบำรุงสุขภาพนั้นอาจทำได้ แต่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ เนื่องจากอาหารเสริมชนิดนี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ไม่สบายท้อง ท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียน ชัก เป็นต้น โดยเฉพาะกลุ่มคนต่อไปนี้ที่ต้องระมัดระวังในการใช้เป็นพิเศษ
- สตรีมีครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตรควรเลี่ยงการใช้อาหารเสริม L-carnitine เนื่องจากยังไม่ปรากฏหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันความปลอดภัยในการนำมาใช้กับสตรีมีครรภ์หรือผู้ที่ให้นมบุตร หากต้องการใช้อาหารเสริมชนิดนี้จริง ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
- เด็กไม่ควรบริโภคอาหารเสริม L-carnitine ติดต่อกันเป็นเวลานาน
- ผู้ป่วยไฮโปไทรอยด์ไม่ควรบริโภคอาหารเสริม L-carnitine เนื่องจากอาจทำให้อาการป่วยแย่ลงได้
- ผู้ที่เคยมีอาการชักควรเลี่ยงการใช้อาหารเสริม L-carnitine เนื่องจากเสี่ยงก่อให้เกิดอาการชักได้สูง