Nortriptyline (นอร์ทริปไทลีน)
Nortriptyline (นอร์ทริปไทลีน) เป็นยารักษาโรคซึมเศร้าในกลุ่มไตรไซคลิก ออกฤทธิ์โดยปรับสมดุลสารเคมีในสมองของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าให้กลับสู่ภาวะปกติ นอกจากนี้ อาจนำมารักษาเด็กที่ปัสสาวะรดที่นอน หรืออาการป่วยอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ได้เช่นกัน
เกี่ยวกับ Nortriptyline
กลุ่มยา | ยาต้านเศร้า |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษาโรคซึมเศร้า และการปัสสาวะรดที่นอน |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
คำเตือนในการใช้ยา Nortriptyline
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากมีประวัติโรคอารมณ์สองขั้ว โรคจิตเภท โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคตับ โรคเบาหวาน โรคต้อหินแบบมุมแคบ อาการชัก ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่ายปัสสาวะ
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา Nortriptyline ร่วมกับยานอนหลับ ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยารักษาโรควิตกกังวล ยารักษาโรคซึมเศร้า หรือยากันชัก เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากรับประทานยาต้านเศร้าในกลุ่มเอสเอสอาร์ไอ ในช่วง 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา เช่น ฟลูออกซิทีน เอสซิตาโลแพรม พาร็อกซีทีน ฟลูวอกซามีน เซอร์ทราลีน เป็นต้น
- ห้ามใช้ยาหากรับประทานยาต้านเศร้าในกลุ่มเอมเอโอไอ ในช่วง 14 วันที่ผ่านมา
- ไม่ควรใช้ยาหากมีประวัติหัวใจวาย แพ้ยา Nortriptyline แพ้ยาต้านเศร้าในกลุ่มใกล้เคียงกัน เช่น โคลมิพรามีน อะมิทริปไทลีน อิมิพรามีน หรือแพ้ยากันชักบางชนิด เช่น คาร์บามาซีปีน ออกคาร์บาซีปีน เป็นต้น
- ก่อนใช้ยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากกำลังรับประทานยาสมุนไพร วิตามิน รวมถึงยาชนิดอื่น ๆ เพราะอาจทำให้เกิดปฏิกิริยากับยาชนิดนี้จนเกิดอันตรายต่อร่างกายได้
- ในช่วงแรกของการใช้ยา ผู้ป่วยบางคนอาจมีความคิดหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น คิดอยากทำร้ายตัวเอง หรือฆ่าตัวตาย ซึ่งควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีหากมีอาการดังกล่าว และควรไปพบแพทย์ตามนัดหมายเสมอ เพื่อติดตามผลการรักษา
- หลังใช้ยา ควรรายงานการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ให้แพทย์ทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีอาการใหม่เกิดขึ้น อาการแย่ลง หรือมีการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และพฤติกรรม เช่น หงุดหงิด หดหู่ วิตกกังวล ตื่นเต้น ตื่นตระหนก นอนไม่หลับ ก้าวร้าว กระสับกระส่าย เป็นต้น
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากอยู่ในช่วงให้นมบุตร เพราะยาอาจถูกขับผ่านทางน้ำนมและเป็นอันตรายต่อทารกได้
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากกำลังตั้งครรภ์ หรือเกิดการตั้งครรภ์ในระหว่างใช้ยา เพราะยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์หากผู้เป็นแม่ใช้ยานี้
- ห้ามให้เด็กใช้ยาโดยปราศจากคำแนะนำของแพทย์
- ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างใช้ยา เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้
- แจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้าก่อนการผ่าตัด หากกำลังใช้ยา Nortriptyline เพราะแพทย์อาจพิจารณาให้หยุดใช้ยาระยะหนึ่ง
- ระมัดระวังในการขับขี่ยานพาหนะ หรือการทำกิจกรรมที่เสี่ยงอันตราย เพราะยาอาจส่งผลต่อความคิดและการกระทำได้
- หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด เพราะยาอาจทำให้ผิวไวต่อแดดและทำให้ผิวไหม้ได้ หากต้องสัมผัสแสงแดด ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป หรือสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดเสมอ
ปริมาณการใช้ยา Nortriptyline
Nortriptyline มีปริมาณการใช้ยาแตกต่างกันตามอายุและอาการของผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีตัวอย่างปริมาณการใช้ยาและรายละเอียด ดังนี้
- ผู้ใหญ่ รับประทานวันละ 75-100 มิลลิกรัม โดยแบ่งเป็น 3-4 ครั้ง หากมีอาการรุนแรง อาจเพิ่มปริมาณยาได้แต่ไม่เกินวันละ 150 มิลลิกรัม
- ผู้สูงอายุและเด็กวัยรุ่น รับประทานวันละ 30-50 มิลลิกรัม โดยแบ่งเป็น 3-4 ครั้ง
ปัสสาวะรดที่นอนหรือฉี่ราด รับประทานวันละครั้งก่อนเข้านอน โดยใช้ยาติดต่อกันได้ไม่เกิน 3 เดือน
- เด็กอายุ 6-7 ปี หรือมีน้ำหนักตัว 20-25 กิิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 10 มิลลิกรัม
- เด็กอายุ 8-11 ปี หรือมีน้ำหนักตัว 26-35 กิิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 10-20 มิลลิกรัม
- เด็กอายุ 11 ปีขึ้นไป หรือมีน้ำหนักตัว 36-54 กิิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 25 มิลลิกรัม
การใช้ยา Nortriptyline
- อ่านฉลากยาและทำตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ใช้ยาในปริมาณมากหรือน้อยเกินไป และไม่ใช้ยาเกินกว่าระยะเวลาที่แพทย์สั่ง
- หลังใช้ยา อาจใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์กว่าอาการจะดีขึ้น ควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องตามคำสั่งแพทย์ แจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการไม่ดีขึ้น และไม่ควรหยุดใช้ยาเองกะทันหัน เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้
- หากลืมใช้ยาตามเวลาที่แพทย์สั่ง ให้ใช้ยาทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาใกล้กับการใช้ยารอบถัดไป ให้ข้ามไปใช้ยารอบต่อไปในปริมาณปกติ ห้ามเพิ่มยาเพื่อทดแทน เพราะการใช้ยาเกินขนาดอาจเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้ และหากผู้ป่วยใช้ยาเกินขนาด ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- เก็บรักษายาชนิดนี้ไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้ไกลจากแสง ความร้อน และความชื้น
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Nortriptyline
การใช้ยา Nortriptyline อาจเกิดผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ วิตกกังวล ปากแห้ง ปัสสาวะลำบาก ท้องผูก การมองเห็นเปลี่ยนแปลง สมรรถภาพทางเพศลดลง เป็นต้น โดยผู้สูงอายุจะมีแนวโน้มเกิดผลข้างเคียงได้มากกว่า
ส่วนอาการข้างเคียงที่เป็นอันตราย ผู้ป่วยต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน ได้แก่
- แพ้ยา เช่น มีผื่นคัน หายใจลำบาก มีอาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น ลำคอ
- มีปัญหาที่กระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ปวดตา ตาบวม
- มีอาการกระตุกที่กล้ามเนื้อดวงตา ลิ้น ขากรรไกร หรือคอ
- วิงเวียนศีรษะ รู้สึกเหมือนจะเป็นลม
- ชัก
- เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นแรง ใจสั่นรัว
- มีอาการชาหรืออ่อนแรงกะทันหัน
- มีปัญหาในการพูดหรือการทรงตัว
- มีไข้ เจ็บคอ เป็นแผลฟกช้ำง่าย และมีเลือดออกผิดปกติ
- มีภาวะดีซ่าน เช่น ผิวหรือตาเหลือง
- รู้สึกเจ็บขณะปัสสาวะ หรือปัสสาวะไม่ออก
- อาการที่บ่งชี้ว่ามีระดับฮอร์โมนเซโรโทนินในเลือดสูง เช่น มีไข้ ประสาทหลอน หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เซ หรือเป็นลม