การคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ ได้ผลจริงหรือ ?

การคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติสามารถทำได้หลายวิธี เช่น นับวันปลอดภัย กำหนดระยะเวลาเจริญพันธุ์ สังเกตสารคัดหลั่งจากปากมดลูก วัดอุณหภูมิร่างกาย มีเพศสัมพันธ์ในระยะให้นมบุตร และหลั่งอสุจินอกช่องคลอด เป็นต้น หากปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด การคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้จะมีประสิทธิภาพป้องกันการตั้งครรภ์อยู่ที่ 88-99 เปอร์เซ็นต์ แต่โอกาสตั้งครรภ์จะเพิ่มสูงขึ้นหากละเลยคำแนะนำของแพทย์ หรือมีปัจจัยด้านอื่น ๆ อย่างปัจจัยทางสุขภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง

1706 การคุมกำเนิด rs

การคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติเป็นอย่างไร ?

การคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ คือ การป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่พึ่งการปรับฮอร์โมนหรือการใช้อุปกรณ์คุมกำเนิดอื่น ๆ อย่างถุงยางอนามัยหรือห่วงอนามัย แต่เป็นการนับระยะปลอดภัย สังเกตช่วงเวลาและสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ต่ำหากมีเพศสัมพันธ์ในขณะนั้น หรือหลีกเลี่ยงการหลั่งอสุจิในช่องคลอด ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้

การนับวันปลอดภัย เป็นการคาดคะเนช่วงเวลาไข่ตก ในขั้นแรกให้บันทึกรอบเดือนเป็นเวลา 6-12 เดือน โดยจดบันทึกวันแรกที่มีประจำเดือนกับวันสุดท้ายก่อนมีประจำเดือนรอบถัดไป แล้วนำมาคำนวณระยะเวลาที่มีประจำเดือนในแต่ละเดือน จากนั้นจึงคาดคะเนช่วงเวลาไข่ตกโดยนำจำนวนวันของรอบเดือนที่สั้นที่สุดมาลบด้วย 18 และนำจำนวนวันของรอบเดือนที่ยาวที่สุดมาลบด้วย 11 ซึ่งช่วงเวลาระหว่างวันที่ทั้ง 2 วันเป็นระยะที่ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์เพราะมีโอกาสตั้งครรภ์สูง อย่างเช่นหากรอบเดือนที่สั้นที่สุด คือ 23 วัน ให้นำ 23-18 = 5 ส่วนรอบเดือนที่ยาวที่สุด คือ 30 ให้นำ 30-11 = 19 ดังนั้น ระหว่างวันที่ 5-19 ของรอบเดือนจะเป็นช่วงที่ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หากต้องการคุมกำเนิด แต่วิธีการนี้มีประสิทธิภาพป้องกันการตั้งครรภ์เพียง 80 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะเป็นเพียงการคาดคะเนวันไข่ตกจึงมีโอกาสผิดพลาดได้ การป้องกันด้วยวิธีนี้เพียงวิธีเดียวจึงไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

การกำหนดระยะเวลาเจริญพันธุ์ คล้ายกับวิธีการนับวันปลอดภัย แต่จะระบุช่วงเวลาที่ร่างกายอาจตกไข่ที่แน่นอนโดยไม่จำเป็นต้องคำนวณด้วยตนเอง นั่นคือหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงวันที่ 8-19 ของรอบเดือน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีรอบเดือนมากกว่า 26 วัน แต่น้อยกว่า 32 วัน

การสังเกตสารคัดหลั่งจากปากมดลูก สังเกตมูก ตกขาว หรือสารคัดหลั่งจากปากมดลูก เพื่อคาดคะเนช่วงเวลาที่ไข่ตก โดยควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงไข่ตก ซึ่งจะมีมูกลักษณะใส ลื่น และค่อนข้างเหนียวคล้ายไข่ขาวดิบในปริมาณมาก

การวัดอุณหภูมิร่างกาย โดยปกติอุณหภูมิร่างกายจะลดต่ำลงก่อนถึงช่วงไข่ตก 12-24 ชั่วโมง และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนเป็นปกติหลังจากไข่ตกแล้ว ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดจึงสามารถคาดคะเนช่วงไข่ตกได้จากการวัดอุณหภูมิร่างกายขณะพักเป็นประจำทุกวัน ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด คือ หลังจากตื่นนอนตอนเช้า แล้วนำอุณหภูมิร่างกายแต่ละวันมาเปรียบเทียบกันเพื่อหาช่วงที่อุณหภูมิลดต่ำลง โดยให้หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่อุณหภูมิร่างกายลดลงและหลังจากอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อย 48-72 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม การคุมกำเนิดวิธีนี้มีโอกาสพลาดค่อนข้างสูง เพราะอุณหภูมิร่างกายอาจสูงขึ้นหรือต่ำลงจากปัจจัยอื่นได้เช่นกัน เช่น เป็นไข้ เครียด ดื่มแอลกอฮอล์ อุณหภูมิภายในห้องสูงหรือต่ำกว่าปกติ เป็นต้น

การมีเพศสัมพันธ์ในระยะให้นมลูก โดยปกติไข่จะไม่ตกในช่วงที่คุณแม่กำลังให้นมลูก หากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลานี้ก็อาจมีโอกาสตั้งครรภ์ต่ำ แต่วิธีนี้สามารถใช้ได้กับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดลูกไม่เกิน 6 เดือนและยังไม่กลับมาเป็นประจำเดือน รวมถึงกำลังให้นมลูกจากเต้าอย่างเดียวหรืออย่างน้อยทุก ๆ 4 ชั่วโมงในช่วงกลางวัน และทุก ๆ 6 ชั่วโมงในช่วงกลางคืนเท่านั้น เพราะประจำเดือนจะมาช้ากว่าคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมผสม แต่ด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ จึงทำให้การคุมกำเนิดวิธีนี้มีประสิทธิภาพป้องกันการตั้งครรภ์ไม่สูงนัก ผู้หญิงที่กำลังให้นมบุตรจึงมีโอกาสตั้งครรภ์ได้

การหลั่งนอกช่องคลอด เป็นการมีเพศสัมพันธ์ตามปกติ แต่ให้หลีกเลี่ยงการหลั่งน้ำอสุจิภายในช่องคลอด เพื่อป้องกันอสุจิเข้าไปผสมกับไข่ ซึ่งการคุมกำเนิดวิธีนี้มีประสิทธิภาพป้องกันการตั้งครรภ์ 75-80 เปอร์เซ็นต์ซึ่งไม่สูงนัก เพราะน้ำอสุจิอจาจถูกปล่อยออกมาระหว่างมีเพศสัมพันธ์ก่อนถึงจุดสุดยอด และแม้ในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ตั้งครรภ์ได้เช่นกัน

ประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ

การคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติอาจเกิดการผิดพลาดได้ง่ายกว่าการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การรับประทานยาคุมกำเนิด หรือการใช้ถุงยางอนามัย เป็นต้น เพราะปัจจัยทางสุขภาพหรือปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ก็อาจทำให้การคำนวณคลาดเคลื่อน และโอกาสในการตั้งครรภ์อาจเพิ่มสูงขึ้นหากไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในการคุมกำเนิดอย่างเคร่งครัด

โดยการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติมีข้อดีและข้อเสีย ดังนี้

ข้อดี

  • ไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับคุมกำเนิดที่มีส่วนผสมของสารเคมีหรือฮอร์โมนสังเคราะห์อย่างยาคุมกำเนิด จึงไม่ส่งผลข้างเคียงใด ๆ ต่อร่างกาย
  • ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์คุมกำเนิดอย่างถุงยางอนามัย จึงอาจช่วยให้คู่รักรู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้นขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ผู้หญิงส่วนใหญ่สามารถใช้การคุมกำเนิดวิธีนี้ได้ โดยควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญถึงหลักการคาดคะเนช่วงที่ไข่ตกอย่างถูกต้อง และควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

ข้อเสีย

  • ไม่เหมาะกับผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างโรคติดเชื้อเอชไอวีหรือหนองในได้
  • อาจมีประสิทธิภาพป้องกันการตั้งครรภ์ต่ำกว่าการคุมกำเนิดวิธีอื่น ๆ หากไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
  • จำเป็นต้องบันทึกติดตามรอบเดือนหรือวัดอุณหภูมิร่างกายเป็นระยะเวลานาน ก่อนจะนำผลที่ได้มาคำนวณเพื่อคาดคะเนช่วงไข่ตก
  • ปัจจัยต่าง ๆ อาจส่งผลกระทบต่อการตกไข่และทำให้คำนวณช่วงไข่ตกคลาดเคลื่อนได้ เช่น ความเครียด ปัญหาสุขภาพ การเดินทาง พฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือการใช้ฮอร์โมนบำบัด เป็นต้น
  • ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินที่ต้องการเปลี่ยนมาคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ จำเป็นต้องหยุดใช้ยาและรอให้รอบเดือนผ่านไป 2 รอบก่อน จึงจะเริ่มต้นคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ได้

ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติควรปรึกษาแพทย์ถึงวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับตนเอง และจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับคู่รักถึงการคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันการตั้งครรภ์