ขนรักแร้อาจเป็นปัญหากวนใจของสาว ๆ ที่ต้องการมีวงแขนเรียบเนียน การกำจัดขนด้วยตนเองนั้นทำได้หลายวิธี ได้แก่ การโกน การถอน การแวกซ์ หรือใช้ครีมกำจัดขน ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปแต่ไม่อาจช่วยกำจัดขนได้อย่างถาวร หากไม่ต้องการให้ขนรักแร้ขึ้นมาอีก ควรเลือกใช้วิธีอื่นตามคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เช่น กำจัดขนด้วยเลเซอร์
ขนตามร่างกายแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ขนเวลลัส (Vellus) ซึ่งเป็นขนอ่อนเส้นเล็ก ๆ ทำหน้าที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย โดยปกติขนชนิดนี้พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะเมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจนมากขึ้น ทำให้ขนเวลลัสในบางจุดกลายเป็นขนเทอร์มินอล (Terminal) ที่มีเส้นหนาและมีสีเข้มกว่า เห็นได้ชัดบริเวณรักแร้ ใบหน้า หน้าอก ขา และจุดซ่อนเร้น
ขนรักแร้กำจัดได้ด้วยวิธีใดบ้าง ?
การกำจัดขนรักแร้แต่ละวิธีมีข้อดี ข้อเสีย และผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป ดังนี้
การโกน เป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็ว และค่อนข้างประหยัด ทว่าอาจมีผลข้างเคียงทำให้ผิวเกิดหนังไก่ ผื่นแดง แผลจากใบมีดโกน หรือขนคุด ซึ่งเป็นขนที่เจริญเติบโตอยู่ใต้ผิวหนัง ส่งผลให้เกิดตุ่มแดง รู้สึกคัน และระคายเคือง ทั้งนี้ การโกนเป็นการกำจัดขนรักแร้ที่งอกเหนือผิวหนังเท่านั้น ขนจึงยาวขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็วภายใน 1-3 วัน แต่ไม่ได้ทำให้เส้นขนที่ขึ้นมาใหม่มีลักษณะหนาและมีสีเข้มกว่าเดิมตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ
มีดโกนที่นิยมใช้กำจัดขนมี 2 ประเภท ได้แก่ มีดโกนทั่วไป และมีดโกนไฟฟ้า
- มีดโกนทั่วไป ควรใช้ครีมหรือเจลสำหรับโกนขนทาบนผิวบริเวณรักแร้ให้ทั่วก่อนโกน เพื่อช่วยหล่อลื่น ทำให้โกนง่ายขึ้น และลดความเสี่ยงเกิดแผลจากใบมีดบาด ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม เพราะอาจก่อความระคายเคืองต่อผิว หากไม่มีครีมหรือเจลสำหรับโกนขน อาจเลือกใช้สบู่ก้อนหรือสบู่เหลวทดแทนได้เช่นกัน
- มีดโกนไฟฟ้า แม้จะสะดวกสบายและปลอดภัยกว่ามีดโกนทั่วไปเพราะไม่ก่อให้เกิดแผลระหว่างโกน แต่ก็มีราคาสูงและโกนขนได้เรียบเนียนน้อยกว่า มีดโกนไฟฟ้ามีหลายรูปแบบให้เลือกใช้ ผู้ใช้ควรเลือกที่ใช้ได้ถนัดและระคายเคืองผิวน้อยที่สุด
อย่างไรก็ตาม การโกนขนอย่างถูกต้องและสอดคล้องกับธรรมชาติของเส้นขนด้วยวิธีดังต่อไปนี้อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดขนคุุดและแผลจากใบมีดโกนได้
- ใช้มีดโกนที่สะอาด ใบมีดคมและไม่ขึ้นสนิม
- แช่น้ำอุ่นหรือใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบบริเวณรักแร้ 2-3 นาที จากนั้นทาครีมหรือเจลสำหรับโกนขนทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที
- โกนขนรักแร้อย่างช้า ๆ และเบามือ หากลงน้ำหนักที่มีดโกนมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อการเกิดแผลได้
- โกนขนจากบนลงล่าง ล่างขึ้นบน ซ้ายไปขวา และขวาไปซ้าย เนื่องจากเส้นขนบริเวณรักแร้งอกขึ้นมาเหนือผิวหนังในทุกทิศทาง
- ใช้ใบมีดร่วมกับครีมหรือเจลสำหรับโกนขน และโกนขนรักแร้ในทุกทิศทางเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดขนคุด
- ล้างทำความสะอาดรักแร้หลังโกนขนด้วยสบู่ จากนั้นใช้โลชั่นหรือผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นทาเพื่อป้องกันผิวแห้ง
- เปลี่ยนใบมีดโกนเป็นประจำ เนื่องจากใบมีดที่ทื่อหรือขึ้นสนิม อาจก่อให้เกิดผื่นแดง เสี่ยงต่อการติดเชื้อและทำให้เกิดแผลระหว่างโกนได้ง่าย
การถอน เป็นการกำจัดขนรักแร้โดยใช้แหนบ วิธีนี้ค่อนข้างประหยัดและกำจัดขนได้ทั้งเส้น ขนจึงขึ้นใหม่ช้ากว่าการโกน โดยใช้เวลาประมาณ 3-8 สัปดาห์ แต่มีข้อเสียคือทำให้รู้สึกเจ็บและใช้เวลาในการถอนค่อนข้างนาน อีกทั้งรูขุมขนอาจบวมและระคายเคืองจากการดึง ส่งผลให้เกิดตุ่มแดงขึ้นชั่วคราว นอกจากนั้น เส้นขนที่ขาดอยู่ใต้ผิวหนังระหว่างการถอนอาจกลายเป็นขนคุดได้ ทั้งนี้ การใช้เครื่องถอนขนไฟฟ้าอาจช่วยให้การถอนขนรักแร้เร็วขึ้น แต่ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บน้อยลง วิธีถอนขนรักแร้ที่ถูกต้อง มีดังนี้
- ทำความสะอาดแหนบด้วยแอลกอฮอล์ทุกครั้ง ทั้งก่อนใช้และหลังใช้ถอนขน
- ใช้กระจกที่มองเห็นได้ชัดส่องระหว่างการถอน
- ควรแช่น้ำอุ่นหรือใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบบริเวณรักแร้ก่อนถอนประมาณ 5 นาที เพื่อช่วยให้ถอนได้ง่ายขึ้น
- ดึงผิวหนังบริเวณรักแร้ให้ตึง จากนั้นใช้แหนบหนีบเส้นขนในระยะที่ใกล้กับผิวหนังที่สุดแล้วดึงออก
การแวกซ์ แวกซ์กำจัดขนมีหลายชนิดแตกต่างกันไปตามรูปแบบและส่วนประกอบของแวกซ์ เช่น แผ่นแวกซ์กำจัดขนสำเร็จรูป แวกซ์น้ำตาล แวกซ์ขี้ผึ้งและพาราฟิน แวกซ์บางชนิดต้องนำไปอุ่นก่อนใช้ บางชนิดใช้ได้ทันที ขึ้นอยู่กับข้อแนะนำการใช้ของแต่ละผลิตภัณฑ์
การแวกซ์เป็นวิธีกำจัดขนที่รวดเร็วและทำให้ผิวหนังเรียบเนียน ขนเส้นใหม่จะงอกภายใน 3-6 สัปดาห์ วิธีนี้ส่งผลให้รูขุมขนอ่อนแอ หากทำเป็นประจำอาจมีขนขึ้นน้อยลงและขึ้นช้ากว่าเดิม ทั้งนี้ การแวกซ์อาจทำให้เกิดตุ่ม รอยแดง และการอักเสบที่ผิวหนังชั่วคราว ซึ่งการแวกซ์ขนอย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และเจ็บน้อยลง ทำได้ดังนี้
- ควรเลือกแวกซ์ที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และเหมาะกับสภาพผิวของตนเอง หากมีผิวบอบบางควรใช้แวกซ์ที่ทำจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น แวกซ์น้ำตาล เป็นต้น
- ทดสอบอาการแพ้ทุกครั้งก่อนใช้ โดยทาแวกซ์บาง ๆ ขนาดเท่าเหรียญ 5 บาทบริเวณข้อพับแขน ข้อมือ ท้องแขน หรือหลัง และหลีกเลี่ยงไม่ให้บริเวณดังกล่าวสัมผัสน้ำหรือเหงื่อประมาณ 48 ชั่วโมง หากไม่เกิดผื่นแดงแสดงว่าไม่มีอาการแพ้
- ควรรอให้ขนรักแร้ยาวเกินครึ่งเซนติเมตรแล้วค่อยแวกซ์ เนื่องจากขนที่สั้นเกินไปอาจทำให้แวกซ์ได้ยากและไม่เรียบเนียน
- อาจใช้ยาชาชนิดทาภายนอกทาบริเวณรักแร้ก่อนแวกซ์ขนประมาณ 30 นาที เพื่อบรรเทาความรู้สึกเจ็บจากการดึง แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้
- แปะแผ่นแวกซ์ให้แนบสนิทกับผิวหนังและดึงแวกซ์ออกอย่างเร็วภายในครั้งเดียว
- ใช้โทนเนอร์สำหรับทำความสะอาดใบหน้าที่มีส่วนผสมของคาโมมายล์เช็ดรักแร้หลังการแวกซ์ เพื่อปรับสภาพผิวและลดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแดงและบวม
ทั้งนี้ แพทย์ไม่แนะนำให้คนบางกลุ่มกำจัดขนด้วยการแวกซ์ ได้แก่ ผู้ที่มีภาวะขนดก ผู้ที่กำลังใช้ยารักษาสิวบางชนิด และผู้ที่มีผิวไหม้แดดบริเวณรักแร้
ครีมกำจัดขน เป็นครีมสำหรับใช้ทาบริเวณผิวหนังที่ต้องการกำจัดขน ควรทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที หรือตามคำแนะนำของแต่ละผลิตภัณฑ์ สารเคมีในครีมจะทำปฏิกิริยากับโครงสร้างโปรตีนภายในเส้นขน ทำให้เส้นขนอ่อนตัวลงและง่ายต่อการล้างหรือเช็ดออก โดยขนจะขึ้นใหม่ภายใน 2-3 วัน หรืออาจนานถึง 2 สัปดาห์ ข้อดีของการกำจัดขนด้วยวิธีนี้คือ ทำได้ง่ายและรวดเร็ว แต่สารเคมีที่เป็นส่วนประกอบอาจทำให้ครีมมีกลิ่นฉุนและก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ อีกทั้งอาจใช้ไม่ได้ผลกับผู้ที่มีเส้นขนหยาบ การใช้ครีมกำจัดขนรักแร้อย่างปลอดภัยควรปฏิบัติดังนี้
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
- ทดสอบอาการแพ้ทุกครั้งก่อนใช้ โดยใช้วิธีเดียวกับการทดสอบแวกซ์
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแต่ละผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรทายากำจัดขนในปริมาณมากเกินไป และควรล้างหรือเช็ดครีมออกจากรักแร้ตามเวลาที่กำหนด
กำจัดขนด้วยเลเซอร์
การเลเซอร์ขนรักแร้คือการยิงแสงเลเซอร์บริเวณต่อมรากขนเพื่อหยุดการเจริญเติบโตของเส้นขน ให้ผลลัพธ์ยาวนานกว่าการกำจัดขนวิธีอื่น แต่มีราคาค่อนข้างสูงและอาจต้องทำทุก 6 เดือนถึง 1 ปี การเลเซอร์ขนอาจมีผลข้างเคียงทำให้ผิวแดงหรืออักเสบ ซึ่งการประคบเย็นอาจช่วยบรรเทาอาการลงได้ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
วิธีใดเหมาะสำหรับกำจัดขนรักแร้ที่สุด
ผิวหนังบริเวณรักแร้เป็นส่วนที่ค่อนข้างบอบบาง ดังนั้น การโกนอาจเป็นวิธีกำจัดขนที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากทำร้ายผิวน้อยและไม่เสี่ยงเกิดการระคายเคืองจากสารเคมี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความต้องการและความพึงพอใจของแต่ละบุคคลด้วย