น้ำผึ้งมานูก้า (Manuka Honey) เป็นน้ำผึ้งที่ผลิตจากเกสรดอกไม้ชนิดหลักเพียงชนิดเดียว นั่นคือต้นมานูก้า ซึ่งมีถิ่นกำเนิดจากประเทศนิวซีแลนด์ น้ำผึ้งมานูก้าจัดว่าเป็นน้ำผึ้งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะคุณสมบัติในการต้านแบคทีเรียจึงอาจช่วยในการสมานแผลและรักษาการติดเชื้อได้ดี
ในทางการแพทย์ คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง เป็นที่รู้จักและใช้รักษาโรคมาอย่างยาวนาน โดยพบว่าน้ำผึ้งมีส่วนช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์จากแบคทีเรีย กระตุ้นการผลิตเซลล์เพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายจากการติดเชื้อ และช่วยต้านการอักเสบได้ แต่คุณสมบัติของน้ำผึ้งแต่ละชนิดอาจแตกต่างกัน ในบทความนี้จึงได้รวบรวมประโยชน์ และวิธีการเลือกบริโภคน้ำผึ้งมานูก้าอย่างถูกต้องมาฝากกัน
ประโยชน์ของน้ำผึ้งมานูก้า
น้ำผึ้งมานูก้าประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน แร่ธาตุ กรดไขมัน สารประกอบฟีโนลิก (Phenolic) และฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แม้ว่าสารอาหารเหล่านี้สามารถพบได้ในน้ำผึ้งชนิดอื่น แต่น้ำผึ้งมานูก้ามีสารเมทิลไกลออกซาล (Methylglyoxal หรือ MGO) ที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติในปริมาณมากกว่าที่พบในน้ำผึ้งทั่วไป น้ำผึ้งมานูก้าจึงได้ชื่อว่าเป็นน้ำผึ้งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าน้ำผึ้งชนิดอื่น
น้ำผึ้งมานูก้ามีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ช่วยสมานแผล
จุดประสงค์หลักของการใช้น้ำผึ้งมานูก้าในทางการแพทย์ คือการใช้เพื่อรักษาบาดแผลและรอยไหม้ขนาดเล็กบนผิวหนัง แม้น้ำผึ้งทั่วไปอาจมีคุณสมบัติเดียวกัน แต่น้ำผึ้งมานูก้าประกอบด้วยสาร MGO ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียมากกว่าน้ำผึ้งอื่น ๆ จึงอาจช่วยในการรักษาบาดแผลขนาดเล็กและบาดแผลเรื้อรังได้ดี
น้ำผึ้งช่วยเร่งกระบวนการสมานและฟื้นฟูผิวหนังที่เป็นแผลให้กลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติดึงน้ำออกจากเซลล์แบคทีเรีย ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี เมื่อขาดน้ำจึงทำให้แบคทีเรียถูกทำลายไป อย่างไรก็ตาม น้ำผึ้งที่นำมาใช้รักษาแผลควรเป็นน้ำผึ้งที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อและได้มาตรฐานตามกระบวนการทางการแพทย์ ไม่ควรใช้น้ำผึ้งทั่วไปในการรักษาบาดแผลด้วยตัวเอง เพราะอาจเกิดการติดเชื้อได้
2. ต้านแบคทีเรีย
น้ำผึ้งมานูก้าที่มีคุณสมบัติต้านแบคทีเรีย จะประกอบด้วยสาร MGO และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogenperoxide) รวมทั้งสารประกอบฟีนอล (Phenol) ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ น้ำผึ้งมานูก้าอาจช่วยลดการก่อตัวของไบโอฟิล์ม (Biofilm) หรือกลุ่มของแบคทีเรียที่เกาะติดอยู่กับพื้นผิวที่เปียกชื้น จึงช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้
ทั้งนี้ ปริมาณความเข้มข้นของสาร MGO ในน้ำผึ้งมานูก้า เรียกว่าค่า UMF (Unique Manuka Factor) ซึ่งมีหลายระดับที่แตกต่างกัน น้ำผึ้งมานูก้าที่มีความเข้มข้นของ MGO สูง จะมีค่า UMF มาก อย่างไรก็ตาม น้ำผึ้งมานูก้าที่มี UMF สูงอาจไม่ได้มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียได้ดีกว่าน้ำผึ้งที่มีค่า UMF ต่ำ เนื่องจากความสามารถในการต้านแบคทีเรียอาจขึ้นอยู่กับกับปัจจัยอื่น ๆ ประกอบกัน
3. ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
แผลในกระเพาะอาหาร คือแผลที่เกิดขึ้นบริเวณเยื่อบุทางเดินอาหาร ซึ่งอาจพบได้ในกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร (H. Pylori) และการรับประทานยากลุ่ม NSAIDs เช่น ยาแอสไพริน หรือยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ในปริมาณมากหรือรับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลานาน
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งทดสอบประโยชน์ของน้ำผึ้งมานูก้าต่อการยับยั้งความเสียหายในกระเพาะอาหาร โดยให้หนูกินสารเอทานอล (Ethanol) ซึ่งมีฤทธิ์ทำลายกระเพาะอาหาร พบว่าเซลล์ในกระเพาะอาหารของหนูที่กินน้ำผึ้งมานูก้าได้รับความเสียหายจากสารเอทานอลน้อยกว่าหนูที่ไม่ได้รับน้ำผึ้ง จึงสันนิษฐานว่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระและการต้านเชื้อโรคของน้ำผึ้งมานูก้า อาจช่วยยับยั้งการเสื่อมสภาพของเซลล์ในกระเพาะอาหารได้ เนื่องจากมีปริมาณสารประกอบฟีโนลิกและฟลาโวนอยด์สูงกว่าน้ำผึ้งชนิดอื่น และน้ำผึ้งมานูก้าอาจช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้เป็นเพียงการศึกษาในสัตว์ทดลอง จึงยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต
4. ประโยชน์ต่อผิวพรรณ
น้ำผึ้งทั่วไปมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และบรรเทาอาการติดเชื้อ โดยช่วยปรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันผิวหนัง และกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวหนังที่เสียหาย น้ำผึ้งมานูก้าถือเป็นหนึ่งในน้ำผึ้งชนิดที่นิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับผู้มีสิว เนื่องจากอาจช่วยต้านการอักเสบและการติดเชื้อของผิว และยังอาจมีส่วนช่วยในการกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูผิวหลังจากสิวหายได้เร็วขึ้น การทาน้ำผึ้งมานูก้าบาง ๆ ในบริเวณที่มีสิว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีถึง 1 ชั่วโมง แล้วล้างออก อาจช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคืองผิวได้ ทั้งนี้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมาตรฐานการรับรองอย่างถูกต้อง เพื่อลดความเสี่ยงของการปนเปื้อนสารและการติดเชื้อที่ผิวหนัง
นอกจากนี้ น้ำผึ้งมานูก้าอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคผิวหนังอักเสบ (Dermatitis) ซ้ำอีกในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโรคมะเร็งเต้านมด้วยการฉายแสง โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าผู้ป่วยกลุ่มที่รักษาผิวหนังด้วยการใช้น้ำผึ้งมานูก้า มีอัตราการเกิดโรคผิวหนังอักเสบน้อยกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาทาที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง (Aqueous Cream)
ทั้งนี้น้ำผึ้งมานูก้าอาจช่วยรักษาหรือป้องกันโรคอื่น ๆ ได้ เช่น ภาวะคอเลสเตอรอลสูง โรคมะเร็ง โรคตา หู จมูก และลดการอักเสบในร่างกาย แต่ยังไม่มีข้อมูลที่เพียงพอในการรับรองผลการป้องกันและรักษาโรคเหล่านี้ และยังต้องการผลการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต
เลือกน้ำผึ้งมานูก้าให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ
หลายคนอาจเคยได้ยินว่าหากต้องการเลือกน้ำผึ้งมานูก้า ควรเลือกที่มีค่า UMF สูง เพราะจะยิ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก แต่ค่า UMF อาจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะยืนยันถึงประสิทธิภาพด้านการรักษาโรคของน้ำผึ้งมานูก้า ดังนั้น จึงควรเลือกบริโภคน้ำผึ้งมานูก้าที่ผ่านการรับรองความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยา (อย.) และหากนำมาใช้รักษาแผล ควรเป็นน้ำผึ้งที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อและได้มาตรฐานตามกระบวนการทางการแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงของการได้รับสารปนเปื้อนและเพื่อป้องกันบาดแผลติดเชื้อ
โดยทั่วไป น้ำผึ้งมานูก้าสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัยในปริมาณที่เหมาะสมเหมือนกับน้ำผึ้งปกติ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้มีอาการแพ้ผึ้งและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากผึ้ง หรือการป้อนให้เด็กทารก ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความปลอดภัยและความเสี่ยงก่อนการรับประทานเสมอ
คุณประโยชน์ของน้ำผึ้งมานูก้าต่อการรักษาสุขภาพและบำรุงผิวพรรณเป็นที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน หากรับประทานหรือใช้อย่างถูกต้อง อาจช่วยรักษาบาดแผล ช่วยต้านการอักเสบและยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้ ทั้งนี้ ยังคงต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารที่มีประโยชน์ และประสิทธิภาพในการป้องกันหรือรักษาโรคต่าง ๆ ในอนาคต