ฉีดยาคุม เรื่องควรรู้เพื่อการคุมกำเนิด

ฉีดยาคุม (Contraceptive Injection) คือ วิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ในระยะเวลาประมาณ 8–13 สัปดาห์หลังจากฉีด โดยขึ้นอยู่กับชนิดของยา การฉีดยาคุมกำเนิดนั้นจะไม่ได้ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้น ถ้าต้องการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ควรใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย

ฉีดยาคุมอาจช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้สูงถึง 99% แต่อาจมีบางรายที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมแบบฉีด เช่น ผู้ทึ่กำลังตั้งครรภ์หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์ ผู้ที่ประจำเดือนขาด ผู้ที่มีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติขณะมีประจำเดือนหรือมีเพศสัมพันธ์ หรือกำลังป่วยเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคที่เกี่ยวกับตับ ไมเกรน มะเร็งเต้านม ดังนั้น ควรแจ้งแพทย์ถึงประวัติสุขภาพต่าง ๆ ก่อนการฉีดยาคุม

Contraceptive Injection

ประเภทของยาคุมกำเนิดที่ใช้ในการฉีดยาคุม

ในปัจจุบัน ยาคุมกำเนิดที่นิยมใช้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

  • เมดรอกซีโปรเจสเทอโรน (Medroxyprogesterone) เป็นยาคุมกำเนิดชนิดฉีดที่ผลิตจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยยับยั้งการตั้งครรภ์ โดยฮอร์โมนดังกล่าวจะกระตุ้นให้ผนังมดลูกหนาขึ้น ทำให้ไข่ที่ผ่านการปฏิสนธิแล้วไม่สามารถเกาะตัวได้ง่าย
  • เมดรอกซีโปรเจสเตอโรน (Medroxyprogesterone) และเอสทราดิอัล ไซพิโอเนท (Estradiol Cypionate) เป็นยาคุมกำเนิดชนิดฉีดที่ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและเทสโทสเตอโรน ซึ่งจะช่วยให้ไข่จากรังไข่ไม่เจริญเติบโตและไม่สามารถปฏิสนธิได้ 

ข้อควรรู้ก่อนฉีดยาคุม

การฉีดยาคุมกำเนิดเป็นการฉีดยาเข้าไปที่กล้ามเนื้อสะโพกหรือต้นขา ซึ่งระยะเวลาในการคุมกำเนิดขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณที่ใช้ โดยแพทย์จะแจ้งชนิดของยาคุมกำเนิด ปริมาณ และตารางนัดในการฉีดยาคุมครั้งต่อไป โดยอาจฉีดยาคุมกำเนิดก่อนกำหนดเวลาได้ไม่เกิน 2 สัปดาห์หากไม่สะดวกในวันนัดดังกล่าว

โดยทั่วไป การฉีดยาคุมกำเนิดมักจะฉีดภายใน 5 วันหลังจากประจำเดือนมา ซึ่งหากฉีดในช่วงเวลานี้ตัวยาจะออกฤทธิ์ในการคุมกำเนิดได้ในทันที แต่ถ้าไม่สามารถฉีดในระยะเวลาดังกล่าวจะต้องใช้เวลาประมาณ 7 วันกว่าตัวยาจะเริ่มออกฤทธิ์ โดยระหว่างนี้อาจจะต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดวิธีอื่น เช่น ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันอีกชั้นหนึ่งจนกว่าตัวยาจะออกฤทธิ์ 

ทั้งนี้ สำหรับคุณแม่ที่เพิ่งผ่านการคลอดบุตรและต้องการฉีดยาคุมกำเนิด ตัวยาอาจมีระยะเวลาออกฤทธิ์แตกต่างจากคนทั่วไป ดังนี้

  • หากฉีดยาคุมกำเนิดภายใน 21 วัน หลังคลอดบุตร ตัวยาจะออกฤทธิ์ในการคุมกำเนิดได้ทันที
  • หากฉีดยาคุมกำเนิดหลังจากวันที่ 21 เป็นต้นไป จะต้องรอให้ตัวยาออกฤทธิ์ประมาณ 7 วัน

สำหรับการฉีดยาคุมกำเนิดชนิดชนิดเมดรอกซีโปรเจสเทอโรน หากมารดาไม่ได้ให้นมบุตรหลังคลอดก็สามารถฉีดได้เลย แต่หากมารดาต้องให้นมบุตร จะต้องทิ้งช่วงหลังจากคลอดบุตรประมาณ 6 สัปดาห์ แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องฉีดก็ฉีดยาคุมกำเนิดก่อนได้

สำหรับผู้หญิงที่ผ่านการทำแท้งหรือแท้งเองโดยธรรมชาติ สามารถฉีดยาคุมกำเนิดได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องเว้นระยะ 

ข้อดีของการฉีดยาคุม

การฉีดยาคุมกำเนิดเป็นวิธีคุมกำเนิดที่ได้ผล และมีผลดีต่อสุขภาพของผู้หญิงหลายด้าน อีกทั้งเป็นวิธีที่สะดวก เพราะไม่ต้องรับประทานยาคุมที่อาจเสี่ยงต่อการลืมหรือการแพ้ยา เพียงแต่จะต้องฉีดยาคุมตามกำหนดเพื่อให้ยามีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดได้อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง โดยข้อดีที่จะได้รับจากการฉีดยาคุมกำเนิด ได้แก่

  • คุมกำเนิดได้ยาวนานต่อเนื่องประมาณ 8–13 สัปดาห์ แล้วแต่ชนิดยา โดยไม่ต้องรับประทานยาทุกวัน
  • ไม่รบกวนต่อการมีเพศสัมพันธ์
  • ยาคุมแบบฉีดชนิดเมดรอกซีโปรเจสเทอโรนสามารถใช้ได้แม้อยู่ในช่วงให้นมบุตร
  • ช่วยแก้ปัญหารอบเดือนที่ผิดปกติได้ เช่น กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) ประจำเดือนมามากกว่าปกติ และมีอาการเจ็บปวดขณะมีประจำเดือน รวมทั้งเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
  • ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งที่ผนังมดลูก ซีสต์ที่รังไข่ และการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้

หากต้องการหยุดคุมกำเนิดก็ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ แค่เพียงรอให้ยาครบกำหนด ประสิทธิภาพก็จะค่อย ๆ หมดไปเอง

ข้อควรระวังก่อนฉีดยาคุม

เช่นเดียวกับยาคุมกำเนิดทั่ว ๆ ไป การฉีดยาคุมยังคงมีข้อควรระวังในการใช้อยู่บ้าง เนื่องจากประสิทธิภาพของยาคุมชนิดฉีดเกิดขึ้นเพียงในระยะเวลาสั้น ๆ ประมาณ 8–13 สัปดาห์เท่านั้น ผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ที่ฉีดยาคุม เช่น 

  • ต้องฉีดยาคุมกำเนิดอย่างต่อเนื่อง การฉีดยาคุมกำเนิดป้องกันได้ไม่เกิน 3 เดือน หากต้องการใช้วิธีนี้คุมกำเนิดอย่างต่อเนื่องจะต้องฉีดยาคุมให้ตรงตามกำหนดเพื่อรักษาประสิทธิภาพของยาไว้
  • อาจเกิดผลข้างเคียงแม้หยุดใช้แล้ว แม้จะหยุดฉีดยาคุมแล้ว แต่ผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยา อาจส่งผลต่อไปอีกระยะหนึ่งจนกว่าระดับฮอร์โมนในร่างกายจะเป็นปกติ
  • ประสิทธิภาพของยากินเวลานานกว่ายาคุมชนิดรับประทาน แม้จะหยุดฉีดยาคุมแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะสามารถตั้งครรภ์ได้ โดยอาจใช้เวลาประมาณ 6–8 เดือนหรืออาจนานกว่านั้น จึงจะกลับมาตั้งครรภ์ได้ 
  • ประจำเดือนผิดปกติ การฉีดยาคุมกำเนิดชนิดเมดรอกซีโปรเจสเทอโรนติดต่อกันเป็นเวลานานอาจส่งผลให้ประจำเดือนผิดปกติ เช่น ประจำเดือนมามากกว่าปกติ หรือน้อยกว่าปกติ ในผู้หญิงบางคนหลังจากใช้ติดต่อกันมามากกว่า 1 ปี ประจำเดือนจะหายไป
  • เสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน การใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉีดชนิดเมดรอกซีโปรเจสเทอโรนติดต่อกันเป็นเวลานานอาจส่งผลให้มวลกระดูกลดลงได้ แต่ก็จะกลับสู่ภาวะปกติ หากหยุดใช้

นอกจากนี้ ยังอาจมีผลข้างเคียงที่ผู้ใช้ควรระมัดระวัง และควรสังเกตอาการหลังจากการฉีดอย่างสม่ำเสมอ ได้แก่

  • ยาคุมกำเนิดชนิดเมดรอกซีโปรเจสเทอโรน จะทำให้ผู้ใช้มีประจำเดือนมามากและมานานกว่าปกติ แต่บางรายอาจมีประจำเดือนช้าหรือไม่มีประจำเดือนเลย
  • ปวดศีรษะ
  • ปวดท้อง
  • มีอาการอ่อนแรง หรืออ่อนเพลียมากกว่าปกติ
  • วิงเวียนศีรษะ
  • น้ำหนักเพิ่ม

ทั้งนี้ หากผู้ที่ฉีดยาคุมกำเนิดมีเลือดออกจากช่องคลอดมากโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจเพิ่มเติมว่าเกิดจากสาเหตุอื่นนอกเหนือจากการฉีดยาคุมกำเนิดหรือไม่ เพราะอาการที่เกิดขึ้นก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้ เช่น การติดเชื้อ 

สำหรับผู้หญิงที่ต้องการคุมกำเนิด การฉีดยาคุมกำเนิดถือว่าเป็นวิธีคุมกำเนิดที่น่าสนใจ แต่ก็ต้องชั่งน้ำหนักถึงประโยชน์และผลข้างเคียงที่จะได้รับ รวมถึงต้องมั่นใจแล้วว่าไม่ต้องการตั้งครรภ์ในช่วงที่มีการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดนี้ เพราะหากฉีดไปแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และต้องรอเวลาระยะหนึ่งกว่าฮอร์โมนในร่างกายจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ