ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst)

ความหมาย ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst)

ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) คือถุงน้ำในรังไข่ประเภทหนึ่งที่เกิดจากเซลล์เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ เมื่อถึงเวลาเป็นประจำเดือนจะทำให้มีเลือดสะสมและตกค้างก่อตัวเป็นซีสต์ โดยมีของเหลวลักษณะเหนียวข้นคล้ายช็อคโกแลตอยู่ภายใน ทางการแพทย์จึงเรียกอีกชื่อว่า ถุงน้ำช็อกโกแลต

ช็อกโกแลตซีสต์จัดเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ (Endometriosis) ที่พบในผู้หญิงที่มีประจำเดือน มักทำให้เกิดอาการปวดท้องและมีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ หากได้รับการตรวจและรักษาอย่างเหมาะสมตามความรุนแรงและลักษณะอาการที่เกิดขึ้น จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้ แต่กรณีที่ถุงน้ำมีขนาดใหญ่มาก อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้

Chocolate Cyst

 

สาเหตุของช็อกโกแลตซีสต์

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากประจำเดือนไหลย้อนกลับไปในรังไข่ (Retrograde Menstruation) เพราะในสภาวะปกติของแต่ละเดือนจะมีการสร้างเยื่อบุขึ้นในมดลูก เพื่อรองรับไข่ที่จะมาฝังตัว แต่เมื่อไม่มีการฝังตัวก็จะทำให้เยื่อบุที่ถูกสร้างขึ้นหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือนทางช่องคลอด 

แต่ในกรณีของการเกิดช็อกโกแลตซีสต์ การบีบตัวของมดลูกบางจังหวะทำให้ประจำเดือนไหลย้อนไปทางปลายท่อนำไข่แทนที่จะไหลลงข้างล่างทางช่องคลอดเพียงทางเดียว จึงทำให้เซลล์เยื่อบุมดลูกไปฝังตัวและเจริญเติบโตในรังไข่จนเกิดเป็นถุงน้ำขึ้น เมื่อเป็นประจำเดือน ถุงน้ำดังกล่าวก็จะมีเลือดออกในถุงเหมือนเยื่อบุโพรงมดลูกลอกตัว ถุงน้ำจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และมีลักษณะเป็นเลือดเก่า ๆ อยู่ภายใน

นอกจากนี้ การเกิดของช็อกโกแลตซีสต์อาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น

  • เยื่อบุช่องท้องเกิดการระคายเคือง (Transformation Of Peritoneal Cells) จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหรือระบบภูมิคุ้มกัน
  • การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อน (Embryonic Cell Transformation) จากอิทธิพลของฮอร์โมน
  • แผลหลังผ่าตัด
  • ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน 

ทั้งนี้ ยังพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่พัฒนาให้เกิดช็อกโกแลตซีสต์ขึ้นในบุคคลบางกลุ่มได้ง่าย โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในช่วงอายุ 25–40 ปี มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคนี้ ไม่เคยมีบุตรมาก่อน หรือมีรอบเดือนผิดปกติ เช่น ประจำเดือนมามากและมีระยะเวลานานกว่าปกติ รอบเดือนสั้น เริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกตั้งแต่อายุยังน้อย

อาการของช็อกโกแลตซีสต์

ช็อกโกแลตซีสต์ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและไม่ค่อยเป็นอันตราย ผู้ป่วยแต่ละคนจะมีอาการมากน้อยไม่เท่ากัน เริ่มตั้งแต่ไม่มีความผิดปกติใด ๆ แสดงอาการเพียงเล็กน้อย หรือรุนแรง ซึ่งอาการที่พบบ่อย เช่น

  • ปวดบริเวณอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง โดยจะรุนแรงมากขึ้นในช่วงมีรอบเดือน  
  • ปวดประจำเดือนมาก ซึ่งมักจะเริ่มปวดก่อนประจำเดือนมา 2–3 วันไปจนหมดรอบเดือน ซึ่งจะต่างกับการปวดประจำเดือนปกติที่มักปวดในช่วงวันแรก ๆ และไม่รุนแรง
  • มีเลือดออกกะปริบกะปรอยทางช่องคลอด หรืออาการอื่น ๆ คล้ายกับช่วงมีประจำเดือน   
  • รู้สึกเจ็บและปวดบริเวณช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาการอาจคงอยู่หลังมีเพศสัมพันธ์ไปอีกประมาณ 1–2 ชั่วโมง
  • บางรายอาจมีอาการปวดขณะถ่ายอุจจาระ ปวดบริเวณอุ้งเชิงกรานมากขณะปัสสาวะ ปวดหลัง
  • ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน
  • มีบุตรยาก

อาการของช็อกโกแลตซีสต์ที่ควรไปพบแพทย์

หากมีอาการปวดท้องอย่างเฉียบพลันและรุนแรง มีไข้ อาเจียน อ่อนเพลีย เวียนหัวคล้ายจะเป็นลม ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าช็อกโกแลตซีสต์มีขนาดใหญ่มาก ซึ่งอาจกลายเป็นมะเร็ง หรือถุงน้ำฉีกขาดและแตกออก ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ควรได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

การวินิจฉัยช็อกโกแลตซีสต์

แพทย์จะสอบถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยและบุคคลในครอบครัวที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับตัวโรค อาการของผู้ป่วยตั้งแต่ปวดในลักษณะไหน บริเวณที่มีอาการปวด เกิดขึ้นเมื่อไร หรือประวัติการปวดประจำเดือนและการมีเพศสัมพันธ์ จากนั้นจะมีการตรวจสุขภาพทั่วไป ซึ่งการตรวจหลัก ๆ ที่ใช้ประกอบการวินิจฉัยควบคู่กับข้อมูลที่สอบถามผู้ป่วยจะแบ่งออกเป็น

การตรวจภายใน

การตรวจภายในเป็นการตรวจหาความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะบริเวณอุ้งเชิงกราน อวัยวะเพศ และทวารหนัก ทำให้แพทย์สามารถตรวจดูว่ามีเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่หรือไม่ หรือมดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม มีก้อนบริเวณมดลูกและรังไข่เกิดขึ้นไม่ แต่ในกรณีที่ถุงน้ำมีขนาดเล็กมากก็อาจมีโอกาสตรวจไม่พบได้เช่นกัน

การตรวจอัลตราซาวด์

อัลตราซาวด์เป็นการตรวจวิเคราะห์ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงผ่านผนังหน้าท้องเข้าไปภายในช่องท้องหรือสอดอุปกรณ์สำหรับการตรวจอัลตราซาวด์เข้าไปทางช่องคลอด เพื่อตรวจดูอวัยวะภายในอุ้งเชิงกราน ซึ่งสามารถตรวจพบก้อนขนาดเล็ก แต่ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างละเอียด เช่น การเกิดพังผืด

การส่องกล้อง (Laparoscopic)

เมื่อการตรวจในข้างต้นให้ข้อมูลไม่เพียงที่จะสรุป แพทย์อาจมีการส่องกล้องตรวจดูความผิดปกติภายในช่องท้อง ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยวินิจฉัยได้แม่นยำมากที่สุด โดยเริ่มจากการให้ยาชาเฉพาะที่ จากนั้นจึงเปิดแผลขนาดเล็กใต้สะดือและสอดกล้องพิเศษลงไปตรวจดูภายใน ทำให้แพทย์มองเห็นความผิดปกติได้ชัดเจน สามารถระบุตำแหน่งและขนาดของถุงน้ำที่ตรวจพบ เพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย

การรักษาช็อกโกแลตซีสต์

แนวทางในการรักษาส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ยาและการผ่าตัด โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและความประสงค์ในการมีบุตรของผู้ป่วย หากช็อกโกแลตซีสต์มีขนาดเล็ก อาจยังไม่ต้องรักษา แต่แพทย์จะนัดตรวจติดตามอาการต่อไป กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดหรือมีความเสี่ยงที่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ แพทย์อาจรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ได้แก่

1. การรักษาโดยการใช้ยา

ยาที่ใช้รักษาช็อกโกแลตซีสต์แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มได้แก่

ยา NSAIDs
ยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non Steroidal Anti-Inflammatory Drugs) หรือเรียกแบบย่อว่า ยาเอ็นเสด (NSAIDs) เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดท้องน้อยหรือปวดระหว่างมีรอบเดือนที่ไม่รุนแรง ตัวอย่างยาที่นิยมใช้ เช่น ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ยานาพรอกเซน (Naproxen)

ยาฮอร์โมนเพศหญิง (Hormone Therapy)
ยาฮอร์โมนเพศหญิงใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดมากและไม่ได้วางแผนตั้งครรภ์ในระยะอันใกล้ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาฮอร์โมนเพศหญิง เพราะการเพิ่มหรือลดของฮอร์โมนในช่วงรอบเดือนอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเยื่อบุมดลูก 

โดยตัวยาจะช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์ให้ช้าลงและป้องกันการฝังตัวใหม่ของเซลล์เยื่อบุมดลูก ผู้ป่วยอาจต้องใช้ยาเป็นระยะเวลาประมาณ 3–6 เดือนตามแต่ละบุคคล แต่ในบางรายอาจพบอาการได้ใหม่หลังหยุดใช้ยา ตัวอย่างยาที่ใช้บ่อย เช่น 

2. การผ่าตัด

เมื่อการรักษาด้วยยาไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น ผู้ป่วยยังคงมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง เนื่องจากถุงน้ำมีขนาดใหญ่จนอาจกระทบกับอวัยวะอื่น แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ป่วยผ่าตัด เพื่อนำเซลล์เยื่อบุออกจากรังไข่ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการผ่าตัดผ่านกล้องมากกว่าการผ่าตัดทางหน้าท้อง เนื่องจากรอยแผลมีขนาดเล็ก ใช้ระยะเวลาพักฟื้นน้อย และยังสามารถมีบุตรได้ในอนาคต 

ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก แพทย์อาจพิจารณาให้ผ่าตัดมดลูกหรือรังไข่ออกทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะหมดระดูหรือหมดประจำเดือนเร็วกว่าปกติ และต้องมีการใช้ฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy) เข้ามาช่วยเสริม

ภาวะแทรกซ้อนของช็อกโกแลตซีสต์

ช็อกโกแลตซีสต์ที่มีขนาดใหญ่อาจทำให้ผู้ป่วยอาการปวดท้องเรื้อรัง บางรายอาจเกิดถุงน้ำแตกหรือฉีกขาด จึงต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน รวมไปถึงมีบุตรยาก เนื่องจากถุงน้ำอาจไปขวางไข่ไม่ให้ไปฝังตัวที่โพรงมดลูกได้อย่างสมบูรณ์

การป้องกันช็อกโกแลตซีสต์

ช็อกโกแลตซีสต์ไม่สามารถป้องกันได้ เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเมื่อพบความผิดปกติใด ๆ ควรไปพบแพทย์