บาดแผลตามร่างกายเกิดขึ้นได้จากการประสบอุบัติเหตุภายนอก เช่น ถูกของมีคมบาด หกล้ม รถชน จนเกิดความเสียหายของเนื้อเยื่อในบริเวณนั้น แผลมักปรากฏขึ้นเป็นแผลเปิดบริเวณผิวหนัง และมีเลือดไหลหรือซึมออกมาจากบาดแผล หากบาดแผลที่เกิดขึ้นมีขนาดเล็ก ตื้น หรือไม่รุนแรง ผู้ป่วยก็สามารถล้างทำความสะอาดแผลได้ด้วยตนเองที่บ้าน โดยอาจใช้ยารักษาแผลสดที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาภายใต้คำแนะนำของเภสัชกร
อย่างไรก็ตาม ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา และทำแผลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที หากเกิดแผลในลักษณะดังต่อไปนี้
- บาดแผลมีขนาดใหญ่ มีความรุนแรง หรือเกิดจากอุบัติเหตุรุนแรง
- เป็นแผลลึกเกินกว่า 1/2 นิ้ว
- แผลมีเลือดไหลไม่หยุดแม้พยายามกดห้ามเลือดแล้ว
- บาดแผลมีเลือดไหลออกมาไม่หยุดอย่างต่อเนื่องเกินกว่า 20 นาที
เมื่อเกิดบาดแผลขึ้นตามผิวหนัง ผู้ป่วยควรทำแผลหรือเข้ารับการทำแผลอย่างเหมาะสม และดูแลจนกว่าบาดแผลนั้นจะหายดี เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส หรือสิ่งสกปรกต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล จนเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ ซึ่งวิธีการและขั้นตอนในการทำแผลนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของบาดแผล ความกว้าง และความลึกด้วย
ชนิดของบาดแผล
เนื่องจากสาเหตุที่ทำให้เกิดบาดแผลแตกต่างกันไป จึงทำให้บาดแผลมีลักษณะหลายรูปแบบ เช่น
- แผลถลอก: ผิวหนังถูกขูดเป็นรอยจากการเสียดสีกับวัตถุหรือพื้นผิวที่แข็ง หยาบ และขรุขระ โดยแผลชนิดนี้มักเป็นแผลตื้น ๆ ที่ไม่ทำให้เลือดไหลซึมออกมามากนัก แต่ผู้ป่วยอาจต้องล้างทำความสะอาดแผล และเช็ดทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่เกิดแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- แผลถูกบาด: เป็นแผลตัดที่เกิดจากการถูกของมีคมบาด เช่น มีด หรือเศษแก้ว โดยแผลมักมีเลือดไหลออกมามากและอย่างรวดเร็ว หากแผลถูกบาดลึกอาจรุนแรงจนสร้างความเสียหายแก่กล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อ หรือเส้นเอ็นได้
- แผลฉีกขาด: มีลักษณะเป็นแผลตัดลึกและมีผิวหนังฉีกขาดขอบไม่เรียบ มักมีเลือดไหลออกมาอย่างรวดเร็วหรือกระจายเป็นบริเวณกว้าง มักเกิดจากอุบัติเหตุในการใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรต่าง ๆ
- แผลถูกแทง: ปากแผลมีลักษณะเป็นช่องขนาดเล็ก เนื่องจากถูกวัตถุปลายแหลมหรือมีความยาวแทงทะลุผิวหนังเข้าไป แม้อาจมีเลือดออกภายนอกไม่มาก แต่อาจสร้างความเสียหายแก่เนื้อเยื่อและอวัยวะภายในได้ เมื่อเกิดแผลลักษณะดังกล่าว แม้แผลจะมีขนาดเล็ก แต่ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ เพื่อให้ตรวจวินิจฉัย และอาจต้องรับวัคซีนป้องกันบาดทะยักและยาป้องกันการติดเชื้อ
- แผลเนื้อเยื่อฉีกขาดจนหลุดออก: เป็นแผลที่ผิวหนังและเนื้อเยื่อบางส่วนหรือทั้งหมดฉีกขาดจนหลุดออกมา มักเกิดจากอุบัติเหตุรุนแรง ซึ่งเป็นผลทำให้มีเลือดไหลออกมามากอย่างรวดเร็ว
วิธีการทำแผล
การทำแผลขึ้นอยู่กับลักษณะและความรุนแรงของบาดแผล สำหรับแผลที่ไม่รุนแรงหรือมีขนาดเล็ก ผู้ป่วยอาจทำแผลได้ด้วยตนเองในเบื้องต้น
การทำแผลด้วยตนเอง
- ล้างสิ่งสกปรกออกจากแผล และล้างแผลให้สะอาดด้วยยาฆ่าเชื้อ
- กดห้ามเลือดและยกส่วนที่เกิดแผลให้สูงขึ้น เพื่อให้เลือดหยุดไหล และลดอาการบวม
- หากเป็นแผลขนาดเล็กอาจไม่ต้องปิดปากแผล แต่ในบางกรณีควรปิดหรือพันด้วยผ้าพันแผลที่ปลอดเชื้อ
- รักษาความสะอาดและดูแลให้แผลแห้ง บาดแผลที่ไม่รุนแรงอาจฟื้นฟูและหายดีในเวลาไม่กี่วัน
- หากเจ็บปวดจากบาดแผล อาจรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดตามวิธีและปริมาณที่เหมาะสมที่ระบุไว้บนฉลากยา และหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน เพราะอาจมีผลทำให้เลือดไหลเพิ่มมากขึ้นหรือนานขึ้นได้
- อาจประคบน้ำแข็งบริเวณผิวหนังรอบบาดแผลที่เป็นรอยช้ำหรือบวมในระยะแรกที่เกิดบาดแผล
- รักษาสุขภาพ และพักผ่อนให้เพียงพอ
การทำแผลโดยแพทย์
หากบาดแผลมีความรุนแรง มีการติดเชื้อ หรือควรได้รับการรักษาจากแพทย์ เมื่อไปพบแพทย์ อาจได้รับการรักษาและทำแผลดังต่อไปนี้
- ล้างทำความสะอาดบาดแผล
- แพทย์อาจใช้ยาชาทาหรือฉีดบริเวณที่เกิดแผล เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดในขณะทำแผล
- ในบางกรณี แพทย์อาจต้องเย็บปิดแผลหรือใช้กาวติดผิวหนังบริเวณที่เกิดแผลเข้าด้วยกัน และนัดหมายให้ผู้ป่วยมารับการตัดไหมหรือตรวจแผล 5-10 วันให้หลัง
- ในกรณีที่ผู้ป่วยมีบาดแผลและสูญเสียเนื้อเยื่อไปมาก แพทย์อาจพิจารณาไม่เย็บปิดแผลที่เกิดขึ้น แต่จะเปิดแผลทิ้งไว้เพื่อให้แผลสมานตัวตามกลไกธรรมชาติ
- หลังทำแผลแล้ว แพทย์อาจใช้ผ้าปิดหรือพันรอบแผลไว้ เพื่อป้องกันเชื้อโรคและสิ่งสกปรกเข้าสู่แผลได้
- ในบางรายที่แผลอาจมีการปนเปื้อน แพทย์อาจให้เปิดแผลไว้ก่อนจนกว่าจะมั่นใจว่าแผลสะอาดดีแล้ว และไม่มีเชื้อโรคปนเปื้อน เพราะการเย็บปิดแผลอาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรียได้ จากนั้นจึงค่อยเย็บปิดแผล
- แพทย์อาจฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อบาดทะยัก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีแผลถูกวัตถุปลายแหลมแทงเข้าไปค่อนข้างลึก หรือแผลที่ถูกสัตว์กัด
- แพทย์อาจจ่ายยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนนิซิลิน หรือยาตัวอื่น ๆ ในกรณีที่แผลมีการติดเชื้อ หรือแผลมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง
- ในรายที่เนื้อเยื่อมีการติดเชื้อและเกิดความเสียหายบอบช้ำ แพทย์อาจต้องนำเนื้อเยื่อส่วนที่ติดเชื้อและเนื้อเยื่อบางส่วนในบริเวณใกล้เคียงออกไปด้วย
- แพทย์อาจต้องผ่าตัดเพื่อรักษาผู้ป่วยในรายที่มีบาดแผลรุนแรง เช่น เกิดบาดแผลโดยมีชิ้นส่วนอวัยวะร่างกายหลุดออกไป ผู้ป่วยต้องรีบไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที โดยห่ออวัยวะที่หลุดออกด้วยผ้าก๊อซชุบน้ำใส่ในภาชนะปิดสนิทที่สะอาดแล้วแช่ในน้ำแข็งแล้วนำมาโรงพยาบาลด้วย
การดูแลตนเองหลังการทำแผล
- หลังทำแผลแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะเริ่มเกิดกระบวนการอักเสบ เพื่อป้องกันการติดเชื้อของบาดแผล โดยจะเริ่มมีอาการบวม แดง และเจ็บปวดบริเวณบาดแผล ซึ่งบรรเทาอาการได้ด้วยการรับประทานยาแก้ปวดตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ
- ปิดแผลไว้ หรือรักษาความสะอาดบริเวณที่เกิดแผล ให้แผลแห้งและสะอาดอยู่เสมอ เพื่อช่วยให้แผลสมานตัวดีและเร็วขึ้น
- ต้องล้างมือให้สะอาดขณะล้างแผลและเปลี่ยนผ้าพันแผลเสมอ ในบางราย แพทย์จะแนะนำขั้นตอน วิธีการ และความบ่อยในการเปลี่ยนผ้าพันแผลด้วยตนเองที่บ้าน
- ในรายที่มีแผลรุนแรงและผ่านการผ่าตัดมา ควรรอ 2-4 วันหลังผ่าตัดทำแผลแล้วจึงอาบน้ำได้ หรือสอบถามข้อมูลและคำแนะนำจากแพทย์ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่กลับไปอาบน้ำ
- หลีกเลี่ยงการแช่ในอ่างอาบน้ำหรือการว่ายน้ำจนกว่าแผลจะหายดี หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ
- เมื่อแผลเริ่มแห้งและสมานตัว อาจเกิดสะเก็ดแผลและรอยแผลเป็นขึ้น โดยผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาแผลบริเวณที่แห้งและตกสะเก็ด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผิวหนังด้านล่างจนแผลสมานตัวช้าลงไปอีก และป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นที่รุนแรงขึ้น
- หลังแผลหายดี แล้วมีรอยแผลเป็นปรากฏขึ้น ให้นวดหรือทาบริเวณแผลเป็นนั้นด้วยโลชั่นหรือปิโตรเลียมเจลลี่ ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ผิวโดยรอบ เพื่อรักษาบรรเทาความรุนแรงของรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้น
- ป้องกันสัตว์เลี้ยงมาอยู่ใกล้บริเวณที่เป็นแผล เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ผู้ป่วยอายุน้อยจะมีการสมานตัวของแผลเร็วกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจกระทบต่อบาดแผลและกระบวนการสมานอย่างการเล่นกีฬาไปก่อนจนกว่าแผลจะหายดี
- ในระหว่างที่พักฟื้น ควรรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารประเภทโปรตีน อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสูงอย่างพวกผักผลไม้ และอาหารที่มีเส้นใยสูงอย่างพวกธัญพืช
- ดูแลรักษาสุขภาพของตน ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และไปพบแพทย์ตามนัดหมายเสมอ
ภาวะแทรกซ้อนหลังเกิดบาดแผลและการทำแผล
หลังการทำแผล ผู้ป่วยควรดูแลรักษาความสะอาดและสังเกตอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างการพักฟื้น เพราะเมื่อเกิดบาดแผลขึ้น ย่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อตามมาได้ แม้บาดแผลจะมีความสะอาด แต่บริเวณอวัยวะที่เกิดแผลอาจเป็นแหล่งที่อยู่ของแบคทีเรียจำนวนมาก ซึ่งเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อได้ง่าย
หลังเกิดแผล หรือแม้แต่หลังทำแผลแล้ว ผู้ป่วยอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนดังต่อไปนี้
- โรคเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis) เป็นโรคติดเชื้อของผิวหนังและเนื่อเยื่อใต้ผิวหนังชนิดที่ยังไม่ทำให้เกิดเนื้อตาย และหากมีการติดเชื้อรุนแรงก็อาจเสี่ยงทำให้เนื้อเยื่อเน่าหรือตายได้
- โรคหนังเน่า (Gas Gangrene) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียคลอสทริเดีย (Clostridia)
- การติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคบาดทะยัก หากไม่ได้รับวัคซีนป้องกันอย่างเหมาะสม
ดังนั้น ผู้ป่วยควรสังเกตอาการที่เป็นสัญญาณของการติดเชื้อ แล้วรีบไปพบแพทย์หากมีอาการเหล่านี้
- แผลไม่ดีขึ้นแม้เวลาผ่านไป
- บาดแผลมีเลือดไหลออกมาเรื่อย ๆ
- แผลมีอาการบวมเพิ่มขึ้น
- แผลมีอาการแดงและขยายวงกว้างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รอบแผล หรือมีรอยแดงเกิดขึ้นตามผิวหนังรอบ ๆ แผล
- เกิดความเจ็บปวดแม้หลังรับประทานยาแก้ปวดแล้ว หรือความเจ็บปวดนั้นขยายออกไปเป็นวงกว้างจากบาดแผลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
- บาดแผลมีสีคล้ำและแห้ง ขยายขนาดใหญ่ขึ้น หรือมีความลึกมากขึ้น
- มีเลือดหรือหนองไหลออกมาจากแผล
- มีหนองสีเขียว เหลือง หรือสีน้ำตาล และหนองที่เกิดขึ้นนั้นส่งกลิ่นเหม็น
- มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ยาวนานเกินกว่า 4 ชั่วโมง
- มีก้อนที่กดแล้วเจ็บเกิดขึ้นบริเวณรักแร้หรือขาหนีบซึ่งเป็นเพราะต่อมน้ำเหลืองโตจากการติดเชื้อลุกลาม