สำหรับสาว ๆ ที่ชื่นชอบการทาเล็บ น้ำยาล้างเล็บถือเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ในการแปลงโฉมและทำความสะอาดเล็บให้สวยงามตามต้องการ ทว่าน้ำยาเหล่านี้สามารถก่ออันตรายต่อผู้ใช้มากกว่าที่คิด เพราะอาจมีส่วนผสมของสารเคมีบางชนิดที่ส่งผลเสียต่อร่างกายได้
หลายคนอาจไม่รู้จักสารอะซีโตน (Acetone) ที่พบได้ในธรรมชาติอย่างในต้นไม้ ผิวดิน ควันบุหรี่ หรือท่อไอเสียรถยนต์ และผสมอยู่ในข้าวของเครื่องใช้บางประเภท อย่างน้ำยาเคลือบเงา น้ำยาทำความสะอาด รวมถึงน้ำยาล้างเล็บ โดยสารอะซิโตนจะมีลักษณะเป็นของเหลว มีกลิ่นเฉพาะตัว ระเหยอย่างรวดเร็วเมื่อเจอกับอากาศ ไวต่อการติดไฟ และสามารถใช้เป็นตัวทำละลาย หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารนี้ในปริมาณที่เหมาะสมจะไม่เป็นปัญหาใด ๆ แต่ถ้าใช้ในปริมาณมากเกินไปไม่ว่าจะสาเหตุใดก็อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา
อันตรายจากน้ำยาล้างเล็บและวิธีดูแลตนเองเบื้องต้น
แม้ภายนอกจะดูเป็นน้ำยาสีใสธรรมดาและไม่มีพิษภัย แต่น้ำยาล้างเล็บบางยี่ห้อกลับมีส่วนผสมของสารอะซีโตนที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายของเราในหลาย ๆ ด้าน เช่น
พิษจากสารอะซีโตน
ปกติแล้วร่างกายคนเราจะเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงานแก่ร่างกาย แต่หากมีปริมาณน้ำตาลที่ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะหันไปเผาผลาญไขมันที่สะสมไว้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนหรือก็คือ สารคีโตนบอดี้ส์ (Ketone Bodies) ที่มีสารอะซีโตนเป็นสารประกอบหลัก ทว่าสารอะซีโตนที่สะสมอยู่ภายในร่างกายในปริมาณมากอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ เพราะเมื่อปริมาณสารอะซีโตนเพิ่มสูงขึ้นมากไปก็อาจนำไปสู่ภาวะพิษจากสารอะซีโตน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงอย่างผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 หรือผู้ที่อดอาหารเป็นเวลานาน
แม้ภาวะนี้จะพบได้ยาก เนื่องจากร่างกายสามารถกำจัดสารดังกล่าวได้เองตามธรรมชาติ แต่หากได้รับสารเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ พูดไม่ชัด เซื่องซึม อวัยวะในร่างกายทำงานไม่ประสานกัน หรือรู้สึกถึงรสชาติหวานในปาก อีกทั้งยังอาจนำไปสู่อาการที่รุนแรง เช่น ภาวะโคม่า ความดันโลหิตต่ำ ไม่รู้สึกตัว หรือการเสียชีวิต
การสูดดมน้ำยาล้างเล็บ
การใช้งานน้ำยาล้างเล็บที่มีส่วนผสมของสารอะซีโตนในพื้นที่ปิดหรือบริเวณที่มีอากาศไม่ถ่ายเทแม้ในระยะเวลาไม่นานอาจทำให้เราสูดดมไอระเหยของสารดังกล่าวมากเกินจนเกิดการระคายเคืองที่ดวงตา จมูก ลำคอ หรือปอด ปวดศีรษะและอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ ไอ คลื่นไส้ อาเจียน ประจำเดือนมาไม่ปกติ ชีพจรเต้นเร็วขึ้น รู้สึกสับสน คล้ายจะหมดสติ ไม่รู้สึกตัว และภาวะโคม่า
การกลืนน้ำยาล้างเล็บ
เชื่อว่าหลายคนใช้น้ำยาล้างเล็บอย่างถูกวิธี แต่บางครั้งอาจเก็บไว้ผิดที่ผิดทาง และบรรจุภัณฑ์ส่วนใหญ่ก็เปิดใช้งานได้สะดวกหรืออาจไม่มีฉลากสินค้ากำกับไว้ จึงสามารถเข้าใจผิดและนำเข้าปากได้ง่ายโดยเฉพาะเด็ก แม้ในการกลืนน้ำยาล้างเล็บที่มีสารอะซีโตนในปริมาณน้อยมักไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย แต่หากกลืนในปริมาณมากอาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรือไม่รู้สึกตัวได้
การสัมผัสน้ำยาล้างเล็บ
โดยทั่วไป สารอะซีโตนในน้ำยาล้างเล็บที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังแม้ในปริมาณเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ผิวหนังแห้ง แตก หรือเกิดผื่นแดง แต่หากได้รับสารนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการระคายเคืองอย่างรุนแรงหรือการอักเสบที่ผิวหนัง ยิ่งไปกว่านั้น ไอระเหยของสารอะซีโตนยังส่งผลต่อดวงตา ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองตา ปวดตา ตาแดง น้ำตาไหล
นอกจากนี้งานวิจัยในสัตว์บางส่วนยังชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ได้รับสารอะซีโตนในระยะยาวอาจเป็นอันตรายในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเส้นประสาท ตับ หรือไตถูกทำลาย ความเสี่ยงต่อการพิการตั้งแต่กำเนิดเพิ่มขึ้น หรือทำให้เพศชายมีบุตรยากขึ้นด้วย
หลังจากรู้ถึงอันตรายของน้ำยาล้างเล็บแล้ว สิ่งสำคัญลำดับถัดไปที่จะช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนจะสายเกินไปก็คือการปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากสารอะซีโตน ดังนี้
- ภาวะพิษจากสารอะซีโตน: แม้ภาวะนี้จะไม่มีวิธีรักษาเฉพาะ เน้นประคับประคองอาการที่เกิดขึ้น เพราะร่างกายจะจัดการกับภาวะความเป็นกรดจากสารอะซีโตนโดยการหายใจให้ถี่ขึ้น แต่ผู้ป่วยก็ควรไปพบแพทย์ เพื่อเฝ้าดูอาการหรือรับความช่วยเหลือเพิ่มเติมอย่างการใส่ท่อช่วยหายใจหรือการให้น้ำเกลือ
- หายใจหรือกลืนน้ำยาล้างเล็บที่มีสารอะซีโตน: เคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยังบริเวณที่มีอากาศถ่ายเท หรือบ้วนปากด้วยน้ำสะอาด หากยังไม่ดีขึ้นหรือรู้สึกแย่ลงควรนำส่งโรงพยาบาล
- สัมผัสกับน้ำยาล้างเล็บที่มีสารอะซีโตน: ถอดเสื้อผ้า รองเท้า หรือเข็มขัดที่เปื้อนน้ำยาล้างเล็บออก จากนั้นทำความสะอาดผิวหนังด้วยน้ำและสบู่ประมาณ 5 นาที ในกรณีที่โดนดวงตาให้เปิดน้ำให้ไหลผ่านดวงตาอย่างน้อย 15-20 นาที แม้จะสวมคอนแทคเลนส์อยู่ก็ไม่ควรถอดออกก่อน หากยังรู้สึกไม่สบายตา ตาบวม ปวดตาหรือระคายเคืองตา ควรพาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
การใช้น้ำยาล้างเล็บให้ปลอดภัย
ทุกคนสามารถเผลอกลืน สัมผัส หรือหายใจเอาน้ำยาล้างเล็บที่มีส่วนผสมของอะซิโตนเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัวได้ตลอดเวลา การใช้งานหรือจัดเก็บน้ำยาล้างเล็บให้ปลอดภัยจึงต้องอาศัยความระมัดระวังตามคำแนะนำดังนี้
- หากต้องการใช้น้ำยาล้างเล็บ ควรอยู่ในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทและระบายอากาศได้ดี
- สวมหน้ากากอนามัย เพื่อลดการสูดดมน้ำยาล้างเล็บ สวมแว่นตานิรภัยป้องกันน้ำยากระเด็นเข้าตาเสมอ และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังการใช้งาน
- เลือกซื้อน้ำยาล้างเล็บชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของสารอะซิโตน บรรจุภัณฑ์แข็งแรงและมีคุณภาพ ยากต่อการแตกหัก
- เก็บน้ำยาล้างเล็บให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง รวมถึงเปลวไฟหรือเครื่องทำความร้อน เพื่อป้องกันการติดไฟ
สุดท้ายนี้ หากการใช้งานน้ำยาล้างเล็บส่งผลให้เกิดความผิดปกติอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วนและรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป