ความหมาย ปวดเบ้าตา (Eye socket pain)
ปวดเบ้าตา (Eye socket pain) เป็นอาการเจ็บปวด ระบม เมื่อยล้า หรือรู้สึกไม่สบายบริเวณโดยรอบของลูกตา โดยอาจเกิดขึ้นกับดวงตาเพียงข้างเดียวหรือเกิดขึ้นกับดวงตาทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน และอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการตาบวม หรืออาการปวดศีรษะ นอกจากนี้ หากมีอาการปวดเบ้าตาอย่างรุนแรงอาจส่งผลต่อการมองเห็นได้
อาการปวดเบ้าตาส่วนใหญ่สามารถดีขึ้นได้ภายในเวลาไม่นานหลังจากการดูแลตัวเองที่บ้าน เช่น การนอนพักผ่อน การประคบ หรือการรับประทานยาแก้ปวดทั่วไป แต่ในบางกรณีก็อาจต้องไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาเพิ่มเติมหากมีอาการรุนแรง หรือส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและการใช้ชีวิตประจำวัน
สาเหตุของอาการปวดเบ้าตา
อาการปวดเบ้าตาสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
- อุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บที่เบ้าตา เช่น การโดนต่อย การโดนวัตถุกระแทกเบ้าตา
- โรคต้อหิน ซึ่งทำให้ความดันภายในลูกตาเพิ่มมากขึ้นอย่างฉับพลันและผิดปกติ
- การติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสภายในดวงตา เช่น อาการม่านตาอักเสบ (Iritis)
- อาการไซนัสอักเสบ ซึ่งทำให้เกิดอาการเจ็บปวดบริเวณโพรงจมูก รวมถึงอาการปวดเบ้าตาด้วย
- โรคประสาทตาอักเสบ (Optic Neuritis) ซึ่งเกิดจากการอักเสบของเส้นประสาทบริเวณลูกตา
- ปัญหาสายตา เช่น การใช้สายตาเพ่งมองมากเกินไป การใส่แว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ที่ไม่ตรงกับค่าสายตาของตัวเอง
- ผลข้างเคียงจากอาการไมเกรน
- ผลข้างเคียงจากเคียงจากอาการปวดหัวแบบคลัสเตอร์ (Cluster Headache) หรืออาการปวดหัวจากกล้ามเนื้อเกร็งตัว (Tension Headaches)
- ผลจากเคียงจากปัญหาทันตกรรม เช่น อาการปวดฟัน อาจส่งผลให้เกิดอาการปวดบริเวณใบหน้ารวมถึงเบ้าตาร่วมด้วย
อาการปวดเบ้าตา
เมื่ออาการปวดเบ้าตา คุณมักจะรู้สึกปวดตุบ ๆ หน่วง ๆ แปลบ ๆ หรือปวดเหมือนมีแรงกดทับบริเวณเบ้าตาหรือกระบอกตา โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับดวงตาเพียงข้างเดียว แต่ก็สามารถเกิดขึ้นกับดวงตาทั้ง 2 ข้างพร้อมกันได้
อาการปวดเบ้าตามักเกิดขึ้นพร้อมกับอาการตาล้า ตาแห้ง ตาบวม มีรอยช้ำ หรือมีอาการปวดศีรษะ โดยเฉพาะอาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือที่เรียกว่าอาการปวดศีรษะจากไมเกรน
อาการปวดเบ้าตาที่ควรไปพบแพทย์
หากมีอาการปวดเบ้าตาอย่างรุนแรงต่อเนื่องร่วมกับมีอาการผิดปกติอื่น ๆ อาจจำเป็นต้องไปพบแพทย์ ตัวอย่างอาการที่ควรไปพบแพทย์ มีดังนี้
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
- มองเห็นภาพซ้อน
- มองเห็นแสงไฟหรือดวงไฟกระจายออกผิดปกติ
- มีอาการบวมรอบดวงตา หรือลูกตาโปนออกมา
- ไม่สามารถลืมตาหรือขยับสายตาได้ตามปกติ
- มีสัญญาณของอาการติดเชื้อ เช่น มีไข้ หนาวสั่น
- มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดท้องร่วมกับอาการปวดเบ้าตา
- มีเลือดหรือหนองไหลออกมาจากดวงตา
- สูญเสียการมองเห็น
การวินิจฉัยอาการปวดเบ้าตา
ในเบื้องต้น แพทย์จะสอบถามประวัติเกี่ยวกับอาการปวดเบ้าตาที่เกิดขึ้น เช่น ระยะเวลาที่เกิดอาการ ระดับความเจ็บปวด อุบัติเหตุหรืออาการบาดเจ็บที่อาจเป็นสาเหตุของอาการ รวมทั้งอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นร่วมด้วย จากนั้นแพทย์จะทำการตรวจสอบบริเวณเบ้าตาว่ามีอาการบวม รอยช้ำ บาดแผล หรือความผิดปกติอื่น ๆ เกิดขึ้นหรือไม่
นอกจากนี้ แพทย์อาจใช้เครื่องมือเพิ่มเติมเพื่อทำการตรวจการมองเห็น การตอบสนองต่อแสง หรือตรวจระดับความดันในลูกตา เช่น
- การตรวจสอบระยะการมองเห็นทั้งใกล้และไกล
- การใช้ยาหยอดตาสำหรับขยายรูม่านตา เพื่อตรวจภายในลูกตา
- การใช้ไฟเฉพาะที่มีแสงจ้าพิเศษ เพื่อตรวจโครงสร้างภายในลูกตา
- การใช้เครื่องตรวจวัดความดันลูกตา (Tonometer) มักใช้เพื่อวินิจฉัยโรคต้อหิน
การรักษาอาการปวดเบ้าตา
การรักษาอาการปวดเบ้าตาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปในผู้ป่วยแต่ละคน ตัวอย่างการรักษาอาการปวดเบ้าตา มีดังนี้
การดูแลอาการปวดเบ้าตาด้วยตัวเองที่บ้าน
หากมีอาการปวดเบ้าตาไม่รุนแรง สามารถดูแลตัวเองด้วยวิธีง่าย ๆ ที่บ้าน เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดเบ้าตาในเบื้องต้น วิธีการดูแลตัวเองมีดังนี้
- ใช้น้ำตาเทียมหากมีอาการตาแห้ง หรือการพักสายตาด้วยการนอนหลับพักผ่อน ในกรณีที่ใช้สายตามากเกินไป
- การประคบบริเวณดวงตา โดยการประคบเย็นจะช่วยบรรเทาอาการปวด บวม ช้ำ ส่วนการประคบอุ่นจะช่วยลดการอักเสบหรืออุดตันของไขมันบริเวณเปลือกตา
- การรับประทานยาแก้ปวดทั่วไป เช่น ยาพาราเซตามอลหรือยารักษาอาการไมเกรน ในกรณีที่อาการปวดเบ้าตามีสาเหตุมาจากอาการปวดศีรษะ
- หลีกเลี่ยงการสวมใส่คอนแทคเลนส์ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน รวมถึงการใส่คอนแทคเลนส์หรือแว่นสายตาที่ไม่ตรงกับค่าสายตาของตัวเอง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือขยี้ดวงตา เพราะอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองเพิ่มมากขึ้น และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อที่ดวงตาหรือเปลือกตาได้
การรักษาอาการปวดเบ้าตาจากอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บ
หากมีอาการบาดเจ็บบริเวณดวงตาอย่างรุนแรง เช่น โดนกระแทกจากอุบัติเหตุ หรือมีเลือดออก ควรรีบไปพบแพทย์ โดยมีวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนไปพบแพทย์คือให้นำแก้วกระดาษที่สะอาดมาปิดครอบดวงตาเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือนดวงตามากขึ้น รวมถึงไม่ควรกดหรือขยี้ดวงตา และหากมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ภายในดวงตา ไม่ควรพยายามเอาออกด้วยตัวเอง
การรักษาอาการปวดเบ้าตาจากโรคต้อหิน
แพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่เป็นโรคต้อหินใช้ยาหยอดตาเพื่อลดแรงกดดันภายในลูกตา ซึ่งมักเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดเบ้าตา นอกจากนี้ ในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ที่เป็นโรคต้อหินรักษาด้วยเลเซอร์เพื่อปรับปรุงการระบายน้ำในดวงตาด้วย
ภาวะแทรกซ้อนของอาการปวดเบ้าตา
อาการปวดเบ้าตาส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและสามารถหายได้ภายในเวลาไม่นาน แต่อาการปวดเบ้าตาในบางกรณีก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ก็อาจส่งผลกระทบต่อดวงตาอย่างร้ายแรงได้
โดยเฉพาะอาการปวดเบ้าตาที่มีสาเหตุมาจากโรคต้อหิน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีสามารถนำไปสู่การเกิดปัญหาการมองเห็นหรือทำให้ตาบอดได้เลยทีเดียว ดังนั้น หากมีอาการปวดเบ้าตาที่ผิดปกติเกิดขึ้น และรักษาด้วยตัวเองไม่หาย ควรไปพบแพทย์
การป้องกันอาการปวดเบ้าตา
อาการปวดเบ้าตาเกิดจากสาเหตุที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป จึงอาจป้องกันได้ยาก แต่วิธีการเหล่านี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการปวดเบ้าตาจากสาเหตุที่พบบ่อย ๆ ได้ มีวิธีการป้องกันดังนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้สายตาติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น การขับรถทางไกล การจ้องหน้าโทรศัพท์หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีแสงจ้าใกล้เกินไปหรือจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน
- หลีกเลี่ยงการสวมใส่คอนแทคเลนส์ติดต่อกันเป็นเวลานาน การใส่คอนแทคเลนส์ที่หมดอายุ รวมถึงคอนแทคเลนส์หรือแว่นสายตาที่ไม่ตรงกับค่าสายตาของตัวเอง
- หลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรน เช่น ความเครียด อากาศร้อนอบอ้าว บริเวณที่มีคนแออีด รวมถึงบริเวณที่มีแสงไฟจ้าหรือมีเสียงดังด้วย
- สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาขณะเล่นกีฬา เช่น ปิงปอง เทนนิส หรือตะกร้อ
- สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาขณะทำงานที่เสี่ยงอันตราย เช่น งานที่ใช้สารเคมี งานเชื่อมเหล็ก หรืองานก่อสร้างที่อาจมีเศษอิฐ หิน ดิน ปูน กระเด็นเข้าตา