ผิวผสม (Combination Skin) เป็นสภาพผิวที่มีทั้งบริเวณที่แห้งและมัน คนที่มีผิวผสมมักมีผิวมันบริเวณหน้าผาก จมูก และคาง และมีผิวแห้งบริเวณแก้มทั้งสองข้าง โดยทั่วไป สภาพผิวของแต่ละคนจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับพันธุกรรม แต่ก็อาจมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อสภาพผิวได้เช่นกัน เช่น ความเครียด ฮอร์โมนในร่างกาย สภาพอากาศที่เปลี่ยนไป
ผิวผสมเป็นลักษณะผิวที่พบได้ทั่วไปของผู้ที่อาศัยอยู่ในภูมิอากาศแบบร้อนชื้น การดูแลผิวผิวผสมจะแตกต่างจากผิวประเภทอื่น ๆ เช่น ผิวธรรมดา ผิวแห้ง และผิวมัน เนื่องจากมีลักษณะของผิวสองรูปแบบผสมกัน อย่างไรก็ตาม หากทราบลักษณะของผิวผสมและวิธีดูแลผิวอย่างเหมาะสมจะสามารถช่วยให้เรามีผิวที่เรียบเนียน ป้องกันการเกิดปัญหาผิว และชะลอความแก่ของผิวก่อนวัยอันควรได้
ลักษณะของผิวผสม
ผิวผสมคือสภาพผิวที่ผสมระหว่างผิว 2 รูปแบบ คือผิวแห้งและผิวมัน ซึ่งคนที่มีผิวผสมแต่ละคนจะมีลักษณะของผิวที่ต่างกัน และไม่ได้มีลักษณะของผิวแห้งและผิวมันในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่งเท่ากัน โดยมักมีผิวมันบริเวณทีโซน (T-zone) ซึ่งหมายถึงบริเวณหน้าผาก จมูก และคาง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เรียงกันเป็นรูปตัว T ส่วนบริเวณแก้มทั้งสองข้างจะมีผิวแห้งกว่าบริเวณทีโซน โดยมีลักษณะของผิว ดังนี้
- บริเวณที่มีผิวมัน จะมีความมันเคลือบบนผิว ผิวเป็นมันเงา คนที่ผิวมันมากอาจดูมันเยิ้ม มีรูขุมขนกว้าง เนื่องจากต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามาก และเป็นสิว เช่น สิวหัวดำ และสิวหัวขาวได้ง่าย
- บริเวณที่มีผิวแห้ง มักรู้สึกแห้งตึงผิวได้ง่าย ผิวอาจแดง หยาบกร้าน และหากหิวแห้งมากอาจลอกเป็นขุยและเป็นสะเก็ด
ขั้นตอนการดูแลผิวผสม
การดูแลผิวผสมอาจยากกว่าการดูแลผิวประเภทอื่น เพราะมีทั้งส่วนที่ผิวแห้งและผิวมันบนใบหน้า จึงอาจต้องใช้ผลิตภัณฑ์และวิธีการดูแลผิวในแต่ละส่วนที่ต่างกัน ซึ่งโดยทั่วไป ขั้นตอนการดูแลผิวมีดังนี้
1. ล้างหน้า
คนที่มีผิวผสมควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าและก่อนเข้านอน โดยใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันผิว (Non-Comedogenic) จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด และซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนู
ผู้ที่แต่งหน้า ควรล้างเครื่องสำอางออกให้สะอาดก่อนล้างหน้า โดยอาจใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางชนิดน้ำที่อ่อนโยนต่อผิวและไม่ทำให้ผิวมันมากขึ้น ไม่ควรเข้านอนโดยที่ยังมีเครื่องสำอางบนใบหน้า เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตันผิว และหากทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น ออกกำลังกาย ควรล้างหน้าให้สะอาด เพื่อชำระล้างเหงื่อและสิ่งสกปรกต่าง ๆ เพิ่มในระหว่างวัน
2. ใช้โทนเนอร์และเซรั่ม
สำหรับการทาครีมบำรุงผิวหลังจากล้างหน้า ควรเริ่มจากการลงผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อเบาก่อนแล้วจึงตามด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อหนักขึ้น
เริ่มจากการใช้โทนเนอร์ (Toner) ซึ่งเป็นโลชั่นบำรุงผิวเนื้อน้ำ เพื่อช่วยขจัดความมันที่ยังหลงเหลืออยู่หลังล้างหน้า และช่วยปรับสมดุลผิวและเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการบำรุงในขั่นตอนต่อไป
จากนั้น ทาเซรั่ม (Serum) ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อเข้มข้นกว่าโทนเนอร์เล็กน้อย เซรั่มแต่ละขวดมีส่วนประกอบของสารบำรุงผิวที่ต่างกัน ซึ่งผู้มีผิวผสมควรใช้เซรั่มที่มีกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี ซึ่งช่วยให้ผิวกระจ่างใส และลดริ้วรอย ซึ่งเหมาะกับผิวทั้งบริเวณที่เป็นผิวมันและผิวแห้ง
ทั้งนี้ เนื่องจากผิวผสมมีลักษณะผิว 2 แบบ คือส่วนที่เป็นผิวแห้งและผิวมัน ซึ่งต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน การใช้โทนเนอร์และเซรั่มจึงควรเลือกให้เหมาะกับลักษณะของผิวส่วนนั้น เช่น
- บริเวณที่มีผิวมัน ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อหนักและมีส่วนผสมของน้ำมัน
- บริเวณที่มีผิวแห้ง ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้น เช่น วิตามินอี
นอกจากนั้น ควรเลือกโทนเนอร์และเซรั่มที่ไม่มีน้ำหอมและแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ เพราะอาจทำให้ผิวทั้งบริเวณที่แห้งและมันเกิดการระคายเคือง
3. ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์
ไม่ว่าจะมีสภาพผิวแบบใดก็ไม่ควรละเลยการทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) ซึ่งช่วยเติมและช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิว ผู้มีผิวผสมควรมีมอยส์เจอร์ไรเซอร์ 2 รูปแบบเพื่อใช้ทาผิวในบริเวณที่ต่างกัน
- บริเวณที่มีผิวมัน ควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบา เช่น เนื้อเจลและโลชั่น และไม่มีส่วนประกอบของน้ำมัน ซึ่งจะช่วยให้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ซึมเข้าสู่ผิวได้ดี ไม่รู้สึกเหนอะหนะและทำให้ผิวอุดตัน และอาจใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผลัดเซลล์ผิวร่วมด้วยหากมีปัญหาสิวหรือมีความมันส่วนเกิน
- บริเวณที่มีผิวแห้ง ควรใช่มอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อครีมที่มีความเข้มข้นและให้ความชุ่มชื้นสูง ซึ่งจะช่วยป้องกันผิวแห้งตึง แดง คัน และลอก โดยเฉพาะในเวลากลางคืน แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผลัดเซลล์ผิว เนื่องจากอาจให้ผิวแห้งมากยิ่งขึ้น
ควรเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม และสารผลัดเซลล์ผิว เช่น กรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids: AHA) ที่ทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง
4. ทาครีมกันแดด
ครีมกันแดดจะช่วยป้องกันผิวคล้ำเสีย ฝ้า กระ ริ้วรอย และโรคมะเร็งผิวหนังจากการสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน โดยเลือกครีมกันแดดที่ปกป้องผิวจากทั้งรังสียูวีเอและรังสียูวีบี (Broad-Spectrum) มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และสามารถกันน้ำได้ โดยทาครีมกันแดดให้ทั่วใบหน้าหลังใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ทุกครั้งในตอนเช้า และควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมง หรือทาซ้ำหลังว่ายน้ำและเมื่อมีเหงื่อออก
ครีมกันแดดสำหรับคนที่มีผิวผสมควรมีเนื้อบางเบา ไม่มีน้ำหอมและน้ำมัน และมีส่วนผสมของสารกันแดดไททาเนียมไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) หรือซิงก์ออกไซด์ (Zinc Oxide) ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองได้น้อย
นอกจากการบำรุงผิวตามขั้นตอนข้างต้น ผู้มีผิวผสมอาจใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น กรดแลคติก (Lactic Acid) และกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) สัปดาห์ละ 1 ครั้งเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกตกค้างในรูขุมขนและช่วยให้ผิวเรียบเนียน โดยปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนใช้ และควรหยุดใช้หากผิวระคายเคือง นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันหิวแห้ง หยาบกร้าน และเหี่ยวย่น
การเลือกใช้ครีมบำรุงที่เหมาะกับสภาพผิวจะช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีและป้องกันปัญหาผิวต่าง ๆ ทั้งนี้ การดูแลผิวผสมอาจยุ่งยากกว่าการดูแลผิวประเภทอื่น และต้องใช้ระยะเวลาในการดูแลอย่างต่อเนื่องหลายเดือนจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ดี หากดูแลผิวด้วยตัวเองแล้วเกิดปัญหาผิว เช่น เป็นสิวรุนแรง ผิวแห้งคันมาก ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาต่อไป