รองเท้าออกกำลังกาย เลือกอย่างไรให้เหมาะสม? อาจเป็นคำถามที่หลายคนสงสัยว่าควรเลือกอย่างไร นอกจากรูปแบบการออกกำลังกายแล้วควรคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง หรือจะทราบได้อย่างไรว่ารองเท้าออกกำลังกายคู่นั้นจะเหมาะสมกับตนเอง ในบทความนี้ได้รวบรวมเอาวิธีต่าง ๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้เมื่อต้องเลือกซื้อรองเท้าออกกำลังกายคู่ใหม่มาให้ได้ศึกษากัน
รองเท้าออกกำลังกายเป็นอุปกรณ์สำคัญเมื่อต้องออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การวิ่ง การเล่นกีฬา หรือคลาสออกกำลังกายอื่น ๆ รองเท้าออกกำลังกายเป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาสำหรับรองรับน้ำหนักและการเคลื่อนไหวของร่างกาย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บได้ โดยการออกกำลังกายแต่ละชนิดก็มีการเคลื่อนไหวและแรงที่ใช้ต่างกัน ดังนั้น การเลือกรองเท้าออกกำลังกายให้เหมาะสมกับชนิดของการออกกำลังกายจึงอาจช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดจากกิจกรรมนั้น ๆ
วิธีเลือกซื้อรองเท้าออกกำลังกายให้เหมาะสม
การเลือกรองเท้าออกกำลังกายให้เหมาะสมมีหลักในการเลือก ดังนี้
1. เลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับกิจกรรม
อย่างที่ได้กล่าวไปว่ารูปแบบการออกกำลังกายแต่ละชนิดมีลักษณะการเคลื่อนไหวและแรงกระแทกที่เกิดขึ้นต่างกัน จึงควรเลือกรองเท้าที่เหมาะสมและสอดคล้องกับกิจกรรมที่ทำให้มากที่สุด เพื่อสุขภาพและความคล่องตัว
โดยการเลือกรองเท้าออกกำลังตามรูปแบบการออกกำลังกายอาจมี ดังนี้
รองเท้าวิ่ง
การวิ่งเป็นกิจกรรมที่นิยมเป็นอย่างมาก การเลือกรองเท้าวิ่งควรเลือกรองเท้าที่ดูดซับแรงกระแทกได้มาก มั่นคง มีน้ำหนักเบา และยืดหยุ่น นอกจากนี้ ไม่ควรเลือกหรือสวมรองเท้าวิ่งที่แน่นจนเกินไปเพราะจะทำให้เสียดสีและเป็นแผลได้
รองเท้าเทรนนิง
การออกกำลังกายในรูปแบบเทรนนิงหรือการฝึกกล้ามเนื้อให้เกิดความแข็งแรง การออกกำลังกายในรูปแบบนี้อาจต้องยกอุปกรณ์ออกกำลังที่มีน้ำหนักมาก จึงต้องการพื้นรองเท้าที่สามารถช่วยรับน้ำหนักได้ มีการยึดเกาะที่ดี ส้นรองเท้าควรทำจากยางและมีขนาดที่ไม่หนาจนเกินไป
รองเท้าสำหรับกีฬาคอร์ท
กีฬาคอร์ท อย่างเทนนิส วอลเลย์บอล หรือบาสเกตบอล ควรเลือกส้นรองเท้าที่มั่นคงสามารถรองรับเท้าเมื่อเคลื่อนไหวไปตามทิศทางต่าง ๆ ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นด้านข้าง ด้านหน้าหรือด้านหลัง อย่างไรก็ตาม กีฬาคอร์ทแต่ละชนิดก็มีรูปแบบการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันจึงควรปรึกษาพนักงานขายหรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อคำแนะนำที่ถูกต้อง
รองเท้าสำหรับกีฬากลางแจ้ง
ผู้ที่เล่นกีฬากลางแจ้งที่ต้องเล่นสนามหญ้า ควรเลือกรองเท้าที่มีปุ่มหรือสตั๊ดบริเวณใต้พื้นรองเท้า จะช่วยให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
2. ทราบลักษณะเท้าตนเอง
โดยปกติแล้วลักษณะฝ่าเท้าสามารแบ่งได้ออกเป็น 3 ลักษณะ คือ อุ้งเท้าสูง ฝ่าเท้าปกติ และเท้าแบน ซึ่งการทราบลักษณะเท้าของตนเองอาจมีส่วนช่วยให้เลือกรองเท้าที่เหมาะสม และอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดการบาดเจ็บและการเสื่อมของเท้าได้
- ผู้ที่มีลักษณะเท้าแบบปกติควรเลือกสวมรองเท้าที่ช่วยเสริมความมั่นคงให้กับเท้า รวมทั้งมีคุณสมบัติดูดซับแรงกระแทกและช่วยพยุงเท้าได้ด้วย
- ผู้ที่มีอุ้งเท้าสูงควรเลือกรองเท้าที่พื้นรองเท้าช่วยดูดซับแรงกระแทกได้ดีรวมทั้งมีพื้นรองเท้าที่รองรับความโค้งตัวของฝ่าเท้าได้เพราะเท้าในลักษณะนี้อาจทำให้ขอบส้นเท้าด้านนอกและนิ้วก้อยเท้าสึกหรอได้
- ผู้ที่ฝ่าเท้าแบนควรเลือกรองเท้าที่ช่วยเสริมการเคลื่อนไหวและช่วยพยุงเท้าให้ได้มากที่สุด เนื่องจากเท้าในลักษณะนี้อาจส่งผลเสียต่อส้นเท้าด้านนอกและฝ่าเท้าด้านในได้
ลักษณะของฝ่าเท้าสามารถทดสอบได้ด้วยการจุ่มเท้าในน้ำให้พอเปียกและเหยียบลงบนกระดาษสีน้ำตาล หากเห็นภาพของฝ่าเท้าทั้งหมดนั่นหมายถึงฝ่าเท้าแบน ซึ่งฝ่าเท้าโค้งน้อยและโค้งมากลดหลั่นลงมาตามลำดับ
นอกจากนี้ หากมีอุปกรณ์เสริมที่จำเป็นต้องสวมขณะใส่รองเท้า อย่างถุงเท้าหรืออุปกรณอื่น ๆ ควรนำติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่เลือกซื้อรองเท้า
3. เหลือพื้นที่ไว้เล็กน้อย
หลายคนอาจเคยเจอคำถามที่ว่าในการเลือกซื้อรองเท้าแต่ละคู่ควรเหลือพื้นที่ไว้เท่าไหร่ เนื่องจากการสวมรองเท้าที่แน่นเกินไปอาจทำให้อึดอัดมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผลและรู้สึกไม่สบายเท้า แต่ถ้าเผื่อพื้นที่ไว้มากเกินไปก็อาจทำให้รองเท้าหลุดง่ายและรู้สึกไม่คล่องแคล่ว
ควรเหลือพื้นที่ระหว่างนิ้วเท้าที่ยาวที่สุดไปจนถึงขอบด้านหน้าภายในรองเท้าประมาณ 0.9-1.3 เซนติเมตร การเว้นพื้นที่ไว้ประมาณนี้จะช่วยให้สวมรองเท้าได้พอดี คล่องตัว ไม่หลุดออกง่าย สบายเท้า และลดความเสี่ยงจากการเสียดสี ซึ่งอาจเป็นขนาดที่เหมาะสมกับคนส่วนใหญ่
4. ลองสวมและลองวิ่ง
ในการเลือกซื้อรองเท้า การลองสวมรองเท้าเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำกันเป็นเรื่องปกติ การลองสวมให้รู้สึกว่าขนาดพอดีอาจเพียงพอต่อรองเท้าลำลอง แต่อาจไม่เพียงพอสำหรับรองเท้าออกกำลังกาย ดังนั้น จึงควรลองสวมรองเท้าและเดิน วิ่ง หรือลองใช้ตามประเภทกีฬา อย่างการกระโดด สไลด์ตัวไปด้านข้าง เพื่อดูว่ารองเท้าตรงกับการใช้งานหรือไม่ รวมถึงเมื่อสวมไปสักพักอาจรู้สึกว่าไม่สบายเท้า ปวดเท้า หรือรู้สึกเจ็บ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจช่วยให้เลือกรองเท้าที่เหมาะสมได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ควรเลือกซื้อและลองรองเท้าในตอนเย็น เนื่องจากในช่วงเย็นหรือช่วงค่ำขนาดของเท้าจะขยายและใหญ่กว่าในช่วงเช้า ซึ่งการเลือกรองเท้าออกกำลังกายในเวลาเย็นอาจช่วยให้เลือกขนาดรองเท้าที่เข้ากับรูปเท้าได้ดีขึ้น
5. ลงทุน
รองเท้าออกกำลังกายที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นด้านความทนทานหรือตอบสนองการใช้งานอาจมีราคาที่สูงขึ้นไปตามลำดับ แต่การเลือกรองเท้าออกกำลังกายที่มีคุณภาพ ความปลอดภัยก็ตามมาด้วย รวมถึงราคารองเท้าอาจเป็นอีกแรงจูงใจหนึ่งที่จะช่วยให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอและมากขึ้น การซื้อรองเท้าออกกำลังกายที่มีคุณภาพดีอาจนับว่าเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพ ซึ่งถ้าหากออกกำลังกายเป็นประจำและมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การลงทุน
นอกจากนี้ การเลือกซื้อรองเท้าออกกำลังกายคู่ใหม่เมื่อคู่เก่าเริ่มมีประสิทธิภาพลดลงก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวรองเท้าวิ่งหรือรองเท้าเดินอาจเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานไปราว 560 กิโลเมตร แต่ถ้าหากรู้สึกไม่สบายเท้า เกิดการบาดเจ็บ ปวดเท้า หรือความรู้สึกที่ต่างไปเดิมก็สามารถพิจารณาเลือกซื้อรองเท้าออกกำลังกายคู่ใหม่เพื่อลดความเสี่ยงเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ