รองเท้ากัด มักเกิดแผลบริเวณข้อเท้าเพราะเป็นบริเวณที่มีแรงกดและมีการเสียดสี หากเป็นมาก แผลจะมีลักษณะเหมือนกับตุ่มพอง ผิวหนังด้านนอกแยกตัวออกมาจากผิวหนังด้านในเป็นช่องว่าง และมีน้ำเหลือง หรืออาจมีเลือดปนได้หากเส้นเลือดขนาดเล็กภายในแตก แผลรองเท้ากัดอาจส่งผลให้เดินหรือทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ลำบาก
สาเหตุที่ทำให้รองเท้ากัดมีดังนี้
- เท้าร้อนหรือชื้น
- ใส่รองเท้าที่ไม่พอดีและมักจะเสียดสีกับเท้าเวลาเดิน
- ใส่รองเท้าโดยไม่สวมถุงเท้า
- ใส่ถุงเท้าที่ย่นหรือยับ
- ใส่ส้นสูง เพราะร่างกายจะถูกบังคับให้เทน้ำหนักไปบริเวณเนินปลายเท้าเพียงจุดเดียว
- มีรูปเท้าที่ผิดปกติส่งผลให้ใส่รองเท้าไม่พอดี
แผลรองเท้ากัดอาจเพิ่มขึ้น หากยังเดินหรือวิ่งเป็นเวลานาน โดยเฉพาะเมื่อต้องถือของหนัก ๆ เช่น กระเป๋าเดินทาง เพราะเมื่อรองเท้าเสียดสีกับผิวมาก ๆ ร่างกายจะสร้างวิธีในการป้องกันตัวเองขึ้น เพื่อไม้ให้ผิวหนังด้านในได้รับบาดเจ็บไปมากกว่านี้ อาจต้องหยุดทำกิจกรรมที่กระทำอยู่เพื่อลดความเจ็บปวดจากการเสียดสีและแรงกดบริเวณแผล
วิธีรักษาแผลจากรองเท้ากัด
หากเป็นตุ่มพองจากแผลรองเท้ากัด ร่างกายจะทำการรักษาตนเองตามธรรมชาติ โดยผิวหนังใหม่จะถูกสร้างขึ้นภายใต้ตุ่มพอง ร่างกายจะดูดซึมของเหลวกลับเข้าไป ผิวหนังด้านหน้าจะแห้งและหลุดร่อนออกไป ทำให้แผลรองเท้ากัดส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องพึ่งการรักษาทางการแพทย์
การรักษาแผลรองเท้ากัดด้วยตนเอง
แผลรองเท้ากัดอาจมีขนาดใหญ่และทำให้รู้สึกไม่คล่องตัว การทำความสะอาดและรักษาแผลในเบื้องต้นด้วยตนเองทำได้ดังนี้
- ล้างมือด้วยน้ำอุ่นและสบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย
- ใช้เข็มปราศจากเชื้อหรือก้านสำลีชุบแอลกอฮอล์ทำความสะอาดเข็ม
- ทำความสะอาดตุ่มพองด้วยยาฆ่าเชื้อโรค
- ใช้เข็มเจาะเป็นรูขนาดเล็กเข้าไปในตุ่มพอง
- ปล่อยให้ของเหลวไหลออกมา
- ใช้ยาขี้ผึ้งหรือครีมต้านเชื้อแบคทีเรียทาบริเวณแผล
- ปิดแผลด้วยผ้าพันแผลหรือผ้าก๊อซ
- ทำความสะอาดแผลด้วยครีมต้านเชื้อแบคทีเรียทุกวันจนกว่าแผลจะหายดี
หากตุ่มพองแตก ขั้นตอนการรักษาด้วยตนเองมีดังนี้
- ค่อย ๆ ล้างแผลด้วยน้ำเกลือปลอดเชื้อ ห้ามใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หรือแอลกอฮอล์เพราะจะทำให้แผลหายช้า
- ห้ามกำจัดหนังบนตุ่มพองออก นอกจากแผลภายในสกปรกหรือมีหนองอยู่ภายใน
- อาจปิดแผลด้วยผ้าพันแผลแบบไม่ติดแผลหรือ ผ้าพันแผลที่มีปิโตรเลียมเจลลี่ชั้นบาง ๆ เช่น วาสลีน
- อาจเพิ่มปิโตรเลียมเจลลี่หรือเปลี่ยนผ้าพันแผลเมื่อจำเป็น
ควรเจาะแผลรองเท้ากัดไหม ?
การเจาะแผลรองเท้ากัดจะทำให้เกิดรูบนผิวหนัง ซึ่งเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ ในบางครั้งการเจาะตุ่มพองนั้นอาจทำให้เจ็บมากขึ้น โดยทั่วไปการเจาะแผลรองเท้ากัดจะกระทำต่อเมื่อมีขนาดตุ่มพองที่ใหญ่มาก และต้องการให้รู้สึกคล่องตัวขึ้น รู้สึกดีขึ้น
หากเป็นโรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน เอชไอวี หรือโรคติดต่ออื่น ๆ เช่น โรคอีสุกอีใส ไม่ควรเจาะแผล เพราะอาจทำให้ติดเชื้อหรือเชื้อแพร่กระจายได้ และหากสังเกตเห็นว่าแผลนั้นมีลักษณะที่ค่อนข้างจะรุนแรงหรือมีอาการแดง บวม ปวดหรือมีหนองบริเวณรอบ ๆ ตุ่มพอง แผลอาจมีการติดเชื้อ อาจต้องทำการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ควรรีบไปพบแพทย์ในทันที
ภาวะแทรกซ้อนจากรองเท้ากัด
แผลรองเท้ากัดส่วนใหญ่หายเร็ว แต่หากไม่ทำความสะอาดให้ดีหรือทิ้งแผลเปิดไว้ ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นไปได้เช่นแผลเปื่อยหรือติดเชื้อ สัญญาณของอาการติดเชื้อมีดังนี้
- ปวด บวม แดงหรือรู้สึกร้อนบริเวณรอบ ๆ แผลมากขึ้น
- น้ำหนองไหล
- มีไข้
- บวมแดงลามออกมานอกตุ่มพองเมื่อมีการอักเสบมากขึ้น
วิธีป้องกันรองเท้ากัด
หากเป็นผู้ที่ไม่ได้มีรูปเท้าที่ผิดปกติแต่ยังต้องประสบกับปัญหารองเท้ากัด ควรพิจารณาในการเลือกรองเท้าให้มากขึ้น เพราะรองเท้าที่ใส่อยู่อาจไม่พอดีกับเท้า เช่น ใหญ่ไปหรือคับไป จนทำให้เกิดการเสียดสีขึ้น วิธีป้องกันรองเท้ากัดมีดังนี้
- สวมใส่รองเท้าที่มีขนาดพอเหมาะพอดีและสวมถุงเท้าที่สะอาด
- เปลี่ยนถุงเท้าบ่อย ๆ ซึ่งป้องกันการเกิดความชื้นได้ หรือหากต้องทำกิจกรรมที่เหงื่อออกบริเวณเท้ามาก ๆ แนะนำให้ใส่ถุงเท้ากีฬาเพราะจัดการกับความชื้นได้ดีกว่า
- แปะแผ่นป้องกันอีกชั้นระหว่างบริเวณที่รองเท้ากัดซึ่งสามารถช่วยลดการเกิดตุ่มพองได้ การแปะแผ่นลดการเสียดทานที่รองเท้าจะได้ผลดีกว่าและติดทนกว่า
- ใส่สารช่วยหล่อลื่นผิวอย่างแป้งฝุ่นภายในรองเท้า สามารถช่วยลดอาการเสียดทานในระยะสั้นได้ แต่แป้งจะดูดซึมความชื้นและส่งผลเสียหากใส่ไปนาน ๆ