วิธีรักษาสิวอักเสบมีหลายวิธี ทั้งวิธีที่สามารถทำได้ด้วยตนเองอย่างการรักษาความสะอาด การใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับการดูแลผิวหน้าที่สามารถหาซื้อได้เอง หรือวิธีที่ต้องไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษา ซึ่งการรักษาสิวอักเสบนั้นควรทำทันทีเมื่อมีสิวอักเสบบนใบหน้าหรือผิวหนัง เนื่องจากสิวอักเสบมักก่อให้เกิดอาการแดง บวม และมักทำให้รู้สึกเจ็บบริเวณที่เกิดสิวได้
สิวเป็นปัญหาทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากการมีน้ำมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วอุดตันในรูขุมขน ซึ่งการอุดตันอาจกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว และอาจนำมาสู่การอักเสบของสิวได้ นอกจากนี้ สิวอักเสบเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในวัยรุ่น แต่ก็อาจพบในผู้ใหญ่ได้เช่นกัน
วิธีรักษาสิวอักเสบอย่างถูกต้องและเหมาะสม
การรักษาสิวอักเสบอาจทำได้ไม่ยาก อีกทั้งยังอาจช่วยให้สิวอักเสบหายไวยิ่งขึ้น โดยวิธีรักษาสิวอักเสบมีหลายวิธี เช่น
1. รักษาความสะอาดของใบหน้า
วิธีรักษาสิวอักเสบให้ดีขึ้น ควรเริ่มจากการล้างหน้าให้สะอาดทั้งในตอนเช้าและเย็น รวมถึงหลังจากการออกกำลังกาย โดยควรนวดถูตามใบหน้าอย่างอ่อนโยนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายหรือเกิดการระคายเคืองต่อผิว นอกจากนี้ ควรเช็ดเครื่องสำอางก่อนล้างหน้าทุกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องสำอางหลงเหลืออยู่บนผิวหนัง และเข้าไปอุดตันรูขุมขนได้
2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง
การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางที่เหมาะสมกับผิวอาจเป็นวิธีรักษาสิวอักเสบให้ดีขึ้นได้ โดยควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน ซึ่งนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดการอุดตันแล้ว ยังอาจช่วยไม่ให้สิวอักเสบรุนแรงขึ้นอีกด้วย
3. หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิวอักเสบ
อีกหนึ่งวิธีรักษาสิวอักเสบ คือการหลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิวอักเสบ เนื่องจากการบีบหรือแกะสิวอักเสบอาจดันเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว รวมทั้งหนองหรือแบคทีเรียภายในสิวอักเสบให้เข้าไปในผิวหนังมากกว่าเดิม ซึ่งอาจทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดรอยสิว หรือเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มเติมได้
4. การใช้ทีทรีออยล์ (Tea Tree Oil)
ทีทรีออยล์เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่อาจช่วยรักษาสิวอักเสบได้ เนื่องจากทีทรีออยล์มีคุณสมบัติช่วยต้านการอักเสบ และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ดังนั้น การใช้ทีทรีออยล์จึงอาจเป็นวิธีรักษาสิวอักเสบที่ช่วยลดการอักเสบของสิวได้
5. การใช้เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide)
เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์อาจช่วยลดการอักเสบ และอาจช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย P. Acnes ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว โดยเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์มักเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าหรือร่างกาย หรืออาจอยู่ในรูปแบบของยาทารักษาสิว
6. การใช้กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid)
การใช้กรดซาลิไซลิกเป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาสิวอักเสบที่เป็นที่นิยม โดยกรดซาลิไซลิกอาจช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันในรูขุมขนเพื่อช่วยให้สิวอักเสบมีอาการดีขึ้น และช่วยป้องกันไม่ให้สิวอักเสบกลับมาเป็นซ้ำ
7. การใช้เรตินอล (Retinol)
การใช้เรตินอลอาจช่วยกำจัดสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน เช่น สิ่งสกปรก เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว น้ำมัน นอกจากนี้ นอกจากการใช้เรตินอลจะเป็นวิธีรักษาสิวอักเสบ ยังอาจช่วยให้รอยสิวดูจางลงอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ไม่ควรใช้เรตินอล เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้
8. การใช้กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid)
กรดอะซีลาอิกเป็นอีกหนึ่งสารที่นำมาใช้เป็นวิธีรักษาสิวอักเสบ โดยสารชนิดนี้อาจช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่อาจก่อให้เกิดสิว โดยกรดอะซีลาอิกมักอยู่ในหลากหลายรูปแบบ เช่น ครีม หรือเจลเพื่อใช้รักษาสิว
9. การไปพบแพทย์ผิวหนัง
การใช้วิธีรักษาสิวอักเสบต่าง ๆ เพื่อรักษาสิวด้วยตนเองอาจใช้เวลาสักพัก จึงจะเริ่มสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม หากใช้วิธีรักษาสิวอักเสบต่าง ๆ แล้วแต่ไม่ได้ผลหรือสิวอักเสบรุนแรงยิ่งขึ้น ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษาสิวอักเสบอย่างเหมาะสม
โดยวิธีรักษาสิวอักเสบโดยแพทย์อาจแตกต่างกันไปตามตำแหน่งและความรุนแรงของสิว ซึ่งการรักษาสิวอักเสบมีหลายวิธี เช่น
- การใช้ยาฏิชีวนะ แพทย์อาจจ่ายยาฏิชีวนะสำหรับกิน เช่น ยาด็อกซีไซคลิน หรือยาเตตราไซคลีน เพื่อต้านเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว นอกจากนี้ หากสิวอักเสบไม่รุนแรงมาก แพทย์อาจจ่ายยาปฏิชีวนะชนิดทาแทน เช่น ยาคลินดามัยซิน หรืออิริโทรมัยซิน
- การใช้ยารักษาสิวไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin) โดยยาชนิดนี้อาจช่วยรักษาสิวอักเสบชนิดรุนแรงและป้องกันการเกิดรอยสิว การใช้ยารักษาสิวชนิดนี้ในช่วง 1–2 เดือนแรกอาจทำให้สิวรุนแรงยิ่งขึ้น ก่อนที่จะเริ่มดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
- การฉีดสิว แพทย์อาจฉีดสเตียรอยด์เข้าที่สิวอักเสบเพื่อลดอาการแดง บวม และเจ็บที่สิว ซึ่งการฉีดสิวอาจช่วยให้สิวอักเสบยุบลงได้อย่างรวดเร็ว
- การใช้ยาปรับฮอร์โมน สิวอักเสบอาจเกิดขึ้นจากการที่ระดับฮอร์โมนแปรปรวน ในกรณีนี้ แพทย์อาจแนะนำให้กินยาต่าง ๆ เช่น ยาคุมกำเนิด หรือยาสไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) เพื่อปรับระดับฮอร์โมนให้สมดุล
อย่างไรก็ตาม การรักษาสิวอักเสบมักใช้เวลาหลายเดือนในการรักษาจนกว่าสิวจะหมดไป โดยในระหว่างการรักษา ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ เนื่องจากวิธีรักษาสิวอักเสบด้วยวิธีต่าง ๆ มักทำให้ผิวหนังไวต่อแสงแดด และเพิ่มความเสี่ยงในการได้รับอันตรายจากแสงแดดได้