วิธีลดต้นแขนน่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ที่มีปัญหาต้นแขนใหญ่ หรือมีไขมันสะสมที่ต้นแขนมากกำลังมองหา เนื่องจากเป็นปัญหาที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกไม่มั่นใจ อีกทั้งยังเป็นปัญหาที่แก้ไขยาก อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ แม้อาจจะต้องใช้เวลานาน และทำความเข้าใจวิธีการรับมือที่ถูกต้อง
ก่อนอื่น ควรเข้าใจก่อนว่า การลดไขมันเฉพาะจุด ไม่ว่าจะเป็นที่ต้นแขนหรือบริเวณอื่นของร่างกาย เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ วิธีลดต้นแขนที่เหมาะสมจึงควรเป็นการมุ่งเน้นไปที่การลดไขมันของร่างกายโดยรวม โดยสิ่งหลัก ๆ ที่ควรทำก็จะประกอบไปด้วย การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร และการพักผ่อน
วิธีลดต้นแขน เริ่มต้นอย่างไรดี
วิธีลดต้นแขน สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ วิธีการลดแบบธรรมชาติ และวิธีทางการแพทย์โดยการผ่าตัด ซึ่งผู้ที่ต้องการเข้ารับการรักษาควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาและให้แพทย์พิจารณาและแนะนำแนวทางที่เหมาะสมก่อน ผู้ที่ต้องการลดต้นแขนจึงอาจเริ่มด้วยการลดด้วยวิธีแบบธรรมชาติก่อน เนื่องจากสามารถเริ่มทำได้ง่าย ๆ ด้วยตนเองและเสียค่าใช้จ่ายน้อย ในขณะที่วิธีการผ่าตัดนั้นแม้จะเร็วกว่าแต่มีค่าใช้จ่ายมากกว่า
1. การลดต้นแขนแบบธรรมชาติ
อย่างที่ได้กล่าวไปว่า การลดต้นแขนแบบธรรมชาตินั้นมีสิ่งที่ควรคำนึงถึง 3 สิ่งหลัก ๆ คือ การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร และการพักผ่อน โดยแต่ละอย่างจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
การออกกำลังกาย
ผู้ที่ต้องการลดต้นแขน ควรเริ่มออกกำลังกายแบบใช้แรงต้าน (Resistance Training) ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio Exercise)
โดยการออกกำลังกายแบบใช้แรงต้านจะเป็นการออกกำลังกายที่มีการถ่วงน้ำหนัก เช่น การเวทเทรนนิ่ง (Weight Training) หรือบอดี้เวท (Bodyweight) เพื่อสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย ช่วยให้ต้นแขนมีความกระชับมากขึ้น อีกทั้งการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อยังมีส่วนช่วยให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกายดียิ่งขึ้นอีกด้วย
ส่วนการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอจะเป็นการออกกำลังกายที่เน้นให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงขึ้นติดต่อกันเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อช่วยเผาผลาญแคลอรี่ เช่น การวิ่ง การขับจักรยาน การว่ายน้ำ หรือการกระโดดเชือก โดยระยะเวลาการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณ 150–300 นาทีต่อสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความหนักหน่วงของการออกกำลังกาย
การรับประทานอาหาร
ผู้ที่ต้องการลดต้นแขน ควรปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารร่วมด้วย โดยสารอาหารที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษ ได้แก่
- โปรตีน เนื่องจากโปรตีนเป็นสารอาหารสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ อีกทั้งโปรตีนยังช่วยให้อิ่มท้องนานและควบคุมความอยากอาหารได้ดีขึ้น โดยปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณ 0.8–1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น 40–50 กรัม/วันสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม แต่ผู้ที่ออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อ อาจต้องเพิ่มเป็น 2–3 เท่า เช่น 100–150 กรัม/วัน หากมีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม
- ใยอาหาร เนื่องจากการรับประทานอาหารที่มีใยอาหารจะช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานขึ้น และอาจช่วยลดความอยากอาหารได้
- คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี ผู้ที่กำลังลดต้นแขนควรจำกัดปริมาณการรับประทานอาหารกลุ่มนี้ให้พอเหมาะ เช่น พาสต้า หรือขนมปังขาว เนื่องจากอาหารกลุ่มนี้มักให้แลคอรี่ที่สูงและมีใยอาหารที่ต่ำ ซึ่งอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นจนเกิดความอยากอาหารมากขึ้นได้
นอกจากด้านอาหาร การดื่มน้ำก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการดื่มน้ำให้เพียงพออาจมีส่วนช่วยให้ร่างกายรู้สึกอื่มได้นานขึ้นและช่วยควบคุมความอยากอาหารได้ อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่พบว่าการดื่มน้ำให้เพียงพออาจมีส่วนช่วยให้กระบวนการเมตาบอลิซึม (Metabolism) ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้นเล็กน้อยอีกด้วย
โดยปริมาณการดื่มน้ำที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณ 1.5–2 ลิตร/วัน แต่อาจจะเพิ่มเล็กน้อย หากเสียเหงื่อมาก หรือมีอาการอาเจียนและท้องเสีย
ทั้งนี้ นอกจากด้านปริมาณ การแบ่งปริมาณการดื่มและการเลือกชนิดเครื่องดื่มก็สำคัญเช่นกัน โดยควรแบ่งปริมาณการดื่มน้ำในระหว่างวันให้ทั่วทั้งวัน ไม่ดื่มรวดเดียวในปริมาณมาก และควรเลือกเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาลหรือมีน้ำตาลเพียงเล็กน้อยเป็นส่วนผสม เพื่อป้องกันร่างกายได้รับพลังงานเกิน
การพักผ่อน
นอกจากการออกกำลังกายและการรับประทานอาหารแล้ว การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก็ถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการลดต้นแขนเช่นกัน เนื่องจากการนอนหลับที่ไม่เพียงพอเป็นหนึ่งในปัจจัยที่อาจส่งผลให้ร่างกายอยากอาหารมากขึ้นได้
อีกทั้งการออกกำลังกายยังเป็นกระบวนการที่ทำให้กล้ามเนื้อของร่างกายเกิดการฉีกขาดเล็กน้อย ซึ่งรอยฉีกขาดขนาดเล็กดังกล่าวจะถูกซ่อมแซมและเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อใหม่ขณะที่ร่างกายนอนหลับพักผ่อน
โดยเพื่อให้การนอนหลับมีคุณภาพ ควรพยายามนอนให้เป็นเวลาเดิมของทุกวัน และหลีกเลี่ยงสิ่งต่าง ๆ ที่อาจรบกวนการนอนหลับก่อนนอนได้ เช่น นิโคติน หรือคาเฟอีน
ทั้งนี้ วิธีลดต้นแขนในข้างต้นเป็นวิธีที่ต้องใช้เวลานานหลายเดือนจึงจะเห็นผลอย่างเห็นได้ชัด ผู้ที่ต้องการลดต้นแขนจึงควรค่อย ๆ ปรับตัว และควรทำให้ได้ติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน
2. วิธีลดต้นแขนด้วยการผ่าตัด
วิธีลดต้นแขนด้วยการผ่าตัดลดต้นแขน (Brachioplasty) เป็นอีกวิธีที่ใช้รักษาผู้ที่มีต้นแขนใหญ่เช่นกัน โดยวิธีนี้ แพทย์จะปรับรูปร่างต้นแขนของผู้ป่วยให้กระชับขึ้น โดยการผ่าตัดบริเวณข้อศอกถึงบริเวณหัวไหล่ จากนั้นจะนำท่อดูดไขมันออก และเมื่อดูดไขมันเสร็จแพทย์จะเย็บแผลพร้อมกับตัดผิวหนังส่วนเกินบางส่วนออก
โดยการผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง หรืออาจแตกต่างกันไปตามผู้ป่วยแต่ละคน และผู้ป่วยจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวโดยเฉลี่ยประมาณ 4 สัปดาห์ ทั้งนี้ หากผู้ป่วยเกิดอาการที่อาจเป็นสัญญาณรุนแรง ผู้ป่วยควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบทันที เช่น
- แขนบวมผิดปกติ
- มีเลือดออกมากผิดปกติ หรือมีของเหลวใด ๆ ไหลออกมาจากแผล
- อาเจียนมาก
- เป็นไข้
- อาการปวดที่ไม่ดีขึ้นเอง
- ไม่สามารถขยับแขนได้ตามปกติ
ทั้งนี้ วิธีลดต้นแขนด้วยการผ่าตัดอาจส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดรอยแผลเป็นได้ รวมถึงยังมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้มาก ไม่ว่าจะเป็นภาวะลิ่มเลือดอุดตัน เส้นประสาทเกิดความเสียหาย หรือภาวะขาดน้ำ ผู้ที่ต้องการลดต้นแขนด้วยวิธีนี้จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อให้แพทย์แนะนำที่ถูกต้อง