ผู้หญิงหลายคนอาจเคยประสบกับอาการไม่พึงประสงค์หลังจากใช้ยาคุมกำเนิด อย่างเวียนศีรษะ คลื่นไส้ หรืออาเจียน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจและเรียกอาการเหล่านี้ว่า อาการแพ้ยาคุม แต่จริง ๆ แล้วอาการเหล่านี้อาจไม่ใช่อาการแพ้ยาคุมอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นเพียงผลข้างเคียงจากการใช้ยาเท่านั้น
ยาคุมหรือยาคุมกำเนิดประกอบด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์หลากหลายชนิดขึ้นอยู่กับยี่ห้อและผู้จำหน่าย อย่างฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสติน (Progestin) โดยฮอร์โมนสังเคราะห์ในยาคุมจะช่วยสร้างสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะกับการตั้งครรภ์ เช่น ยับยั้งการตกไข่ สร้างมูกเหนียวในช่องคลอดเพื่อให้อสุจิเคลื่อนตัวได้ลำบาก เป็นต้น จึงช่วยป้องกันและลดโอกาสการตั้งครรภ์ได้
ในบางครั้งแพทย์อาจสั่งจ่ายยาคุมเพื่อรักษาอาการที่เกิดจากภาวะฮอร์โมนที่ไม่สมดุล และเนื่องจากการใช้ยาคุมส่งผลให้ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงจึงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นอาการแพ้ยาคุมได้
ความแตกต่างระหว่างผลข้างเคียงกับอาการแพ้ยาคุม
อาการที่เกิดหลังจากการใช้ยาคุมกำเนิดอาจไม่ใช่อาการแพ้ยาคุมเสมอไป แต่เพื่อความปลอดภัย ลองมาดูความแตกต่างของทั้ง 2 อาการที่อาจเกิดได้จากการใช้ยาคุม
อาการแพ้ยาคุม
อย่างแรกที่ทุกคนควรทราบ คือ ลักษณะของอาการแพ้ยา อาการแพ้ยามักพบได้น้อยกว่าผลข้างเคียง เป็นความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองกับสารบางอย่างในยามากกว่าปกติ โดยระบบภูมิคุ้มกันอาจมองสารเหล่านั้นเป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงได้กำจัดสารเหล่านั้นทิ้งจนทำให้เกิดเป็นอาการแพ้ เช่น
- ลมพิษ ผื่นคัน
- เป็นไข้ ตัวร้อน
- คันตา น้ำตาไหล
- ไอ คัดจมูก เสียงหายใจหวีดแหบ หายใจลำบาก
- อาการบวมบริเวณคอ ใบหน้า ผิวหนัง และริมฝีปาก
อาการแพ้ยาเหล่านี้อาจเกิดขึ้นทันทีหลังใช้ยา หรือภายในไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงหลายวันหรือหลายสัปดาห์หลังการใช้ โดยระดับความรุนแรงมีตั้งแต่ไม่รุนแรง รุนแรงปานกลาง และร้ายแรงจนอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตที่เรียกว่า ปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรง (Anaphylaxis)
โดยอาการนี้มักทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรง บ้านหมุน หัวใจเต้นเร็ว ปวดท้อง หายใจไม่ออก ชัก หรือหมดสติ หากเกิดอาการรุนแรงควรรีบไปโรงพยาบาลทันที นอกจากนี้ อาการแพ้ยามีลักษณะคล้ายกับการแพ้อาหารหรือสารอื่น ๆ หากพบอาการที่บ่งบอกถึงอาการแพ้รุนแรงหลังจากใช้ยา ควรรีบไปพบแพทย์
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาคุม
ผลข้างเคียงเป็นอาการที่อาจเกิดได้จากการใช้ยาทุกชนิดแต่อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ผลข้างเคียงจากการใช้ยานั้นพบได้ทั่วไปและพบได้บ่อยกว่าอาการแพ้ยา โดยผลข้างเคียงจากยาคุมที่หลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นอาการแพ้ยาคุม ได้แก่
- เลือดออกกะปริบกะปรอยจากช่องคลอด
- น้ำหนักขึ้นหรือมีอาการบวมน้ำ
- เต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น และอาจมีอาการคัดเต้านมร่วมด้วย
- คลื่นไส้ เวียนศีรษะ และมวนท้อง
- อารมณ์อ่อนไหวมากกว่าปกติ
ผลข้างเคียงเหล่านี้เป็นผลมาจากระดับและชนิดของฮอร์โมนภายในร่างกายที่เปลี่ยนแปลง ส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตราย แต่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน หากอาการจากผลข้างเคียงหลังการใช้ยาไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาเภสัชกรหรือไปพบแพทย์
แม้ว่าผลข้างเคียงส่วนใหญ่จากการใช้ยาคุมจะไม่ร้ายแรง แต่หากพบอาการตาพร่ามัว ปวดท้องหรือปวดศีรษะรุนแรง ตัวเหลืองตาเหลือง ปวดขา ขาและข้อเท้าบวม แน่นหน้าอก ขยับใบหน้าไม่ได้ แขนตก ยกแขนไม่ได้ ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที
นอกจากนี้ พฤติกรรมและปัญหาสุขภาพบางอย่างอาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงจากการใช้ยาคุม เช่น การสูบบุหรี่ การตั้งครรภ์ ภาวะเลือดออกจากช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ โรคอ้วน โรคเบาหวาน ภาวะความดันโลหิตสูง โรคเลือด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับ มะเร็งเต้านม และมะเร็งภายในระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น ผู้ที่กำลังใช้ยาหรืออาหารเสริม หรืออยู่ในกลุ่มนี้ ไม่ควรซื้อยาคุมกำเนิดมาใช้เอง ควรปรึกษาแพทย์ถึงความเสี่ยงและวิธีการใช้ยาคุมอย่างถูกต้องเพื่อลดการเกิดผลข้างเคียงรุนแรง
ผลข้างเคียงและอาการแพ้ยาคุมอาจเกิดได้กับการใช้ยาคุมกำเนิดทุกรูปแบบ ทั้งยาเม็ด ยาคุมฉุกเฉิน ยาคุมชนิดฉีด หรือชนิดฝัง เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดปกติจากการใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้และใช้ยาตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะมีจุดประสงค์เพื่อคุมกำเนิด บรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน รักษาสิว หรือจุดประสงค์ใดก็ตาม สุดท้ายนี้ แม้ว่ายาคุมกำเนิดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ แต่ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อจึงควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์