โทนเนอร์ ขจัดสิ่งตกค้างบนใบหน้า แก้ปัญหาผิวจริงหรือ ?

โทนเนอร์เป็น 1 ในเครื่องสำอางทำความสะอาดผิวยอดนิยมที่หลายคนใช้เช็ดกำจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างบนผิวหลังการล้างหน้า แต่บางคนอาจยังไม่ทราบวิธีการใช้โทนเนอร์อย่างถูกต้อง ข้อควรระวัง รวมถึงคุณประโยชน์ที่แท้จริงของโทนเนอร์

โทนเนอร์

คนมักล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ซึ่งมีระดับความเป็นกรด-เบส หรือค่า pH สูงและมีผลให้ค่า pH บนผิวหน้าเสียสมดุล โทนเนอร์จึงถูกผลิตขึ้นเพื่อช่วยฟื้นฟูระดับ pH ที่เสียไปและกำจัดสิ่งสกปรกตกค้างหลังการล้างหน้า โดยส่วนประกอบหลักที่อาจพบในโทนเนอร์ ได้แก่ แอลกอฮอล์ กรดซาลิไซลิก กรด BHA และกรด AHA ปัจจุบันโทนเนอร์ถูกพัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในด้านต่าง ๆ นอกเหนือจากการทำความสะอาดผิวหน้า โดยส่วนประกอบต่าง ๆ ที่เพิ่มเข้ามาในโทนเนอร์อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละผลิตภัณฑ์ ได้แก่ น้ำมันหอมระเหย สารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินชนิดต่าง ๆ เป็นต้น

ประโยชน์ของโทนเนอร์มีอะไรบ้าง ?

โทนเนอร์มีคุณประโยชน์ต่าง ๆ มากมาย ดังนี้

  • ขจัดฝุ่น เครื่องสำอาง สารตกค้าง หรือสิ่งสกปรกอื่น ๆ บนผิวหน้า
  • ทำความสะอาด ป้องกันการอุดตันของรูขุมขนบนใบหน้าอุดตัน
  • ช่วยผลัดเซลล์ผิว และลดขนาดรูขุมขน
  • ควบคุมความมันบนใบหน้า และช่วยลดการเกิดสิวเสี้ยน
  • ฟื้นฟูระดับความสมดุลค่า pH ของผิวหน้า
  • ป้องกันผิวหน้าหมองคล้ำ
  • เพิ่มความชุ่มชื้นหลังโกนหนวด

โทนเนอร์ จำเป็นเพียงใด และเป็นอันตรายได้หรือไม่ ?

แม้โทนเนอร์จะช่วยฟื้นฟูสมดุลของความเป็นกรด-เบสบนผิวหน้าที่อาจหายไปจากการใช้คลีนเซอร์ที่มีค่า pH สูง แต่หากเลือกใช้คลีนเซอร์ที่มีค่า pH ต่ำแล้ว อาจไม่จำเป็นต้องใช้โทนเนอร์อีก เพราะโทนเนอร์อาจไปเพิ่มระดับ pH ของผิวหน้าจนเกินความสมดุล และอาจทำลายผิวหน้าได้ ยิ่งไปกว่านั้น โทนเนอร์บางชนิดอาจมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังระคายเคืองได้ด้วย ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านี้ ควรเลือกใช้โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ปราศจากแอลกอฮอล์ หรือใช้คลีนเซอร์ที่มีค่า pH ต่ำแทน รวมทั้งควรทดสอบอาการแพ้ทางผิวหนังในเบื้องต้น โดยลองใช้โทนเนอร์บนผิวบริเวณหนึ่งหรือลองทาที่ท้องแขนก่อน โดยเฉพาะเมื่อต้องเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์โทนเนอร์ตัวใหม่

นอกจากนี้ กรด BHA ที่พบในโทนเนอร์อาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่ตั้งครรภ์ได้ เพราะมีงานวิจัยบางชิ้นพบว่าการรับประทานยาที่มีกรด BHA เป็นส่วนประกอบ เช่น ยาแอสไพริน อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ ดังนั้น หากต้องการใช้โทนเนอร์ระหว่างตั้งครรภ์ ควรใช้เพียงวันละ 1-2 ครั้ง หรือหลีกเลี่ยงการใช้โทนเนอร์ไปก่อน เพราะขณะนี้ยังไม่มีผลงานวิจัยใดยืนยันได้ว่ากรด BHA จากโทนเนอร์จะปลอดภัยต่อทารกในครรภ์ แม้สารนี้จะซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้เพียงปริมาณน้อยมากก็ตาม

วิธีใช้โทนเนอร์

อาจใช้โทนเนอร์ได้หลังการล้างหน้าทั้งในตอนเช้าและก่อนเข้านอน และอาจใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นได้ เพื่อจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป เช่น ใช้โทนเนอร์ควบคู่กับกรดวิตามินเอและเบนซิลเปอร์ออกไซด์ เพื่อป้องกันสิวเสี้ยน เป็นต้น โดยวิธีการใช้โทนเนอร์ มีดังนี้

  • ล้างมือให้สะอาดก่อนเสมอ
  • ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอย่างอ่อนโยน หรือล้างด้วยคลีนเซอร์ที่มีส่วนประกอบเป็นกรด AHA เพื่อขจัดความมันส่วนเกิน
  • นำสำลีก้อนหรือสำลีแผ่นไปชุบโทนเนอร์ แล้วเช็ดให้ทั่วผิวหน้า
  • ทิ้งไว้ให้โทนเนอร์ซึมเข้าผิวโดยไม่ต้องล้างออก

แม้โทนเนอร์สามารถทำความสะอาดและปรับสภาพผิวหน้าได้ แต่ผู้ใช้ก็ควรดูแลสุขภาพผิวหน้าให้ดีอยู่เสมอ หมั่นล้างหน้าเมื่อมีเหงื่อออก หรือหลังทำกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องเผชิญมลภาวะทางอากาศ เช่น หลังออกกำลังกาย และหลังทำงานกลางแจ้งที่ต้องเผชิญฝุ่น ควัน หรือแสงแดดเป็นเวลานาน เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกตกค้างบนผิวหน้า

วิธีทำโทนเนอร์ด้วยตัวเอง

หากกังวลเกี่ยวกับสารก่ออาการแพ้ที่อาจพบได้ในโทนเนอร์ หรือต้องการใช้โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ อาจเลือกทำโทนเนอร์ขึ้นมาด้วยตนเองจากวิธีง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

สูตรที่ 1 นำน้ำมะนาวมาผสมให้เข้ากันกับน้ำเปล่า แล้วจึงนำสำลีก้อนไปชุบให้ชุ่ม ก่อนเช็ดให้ทั่วผิวหน้าดังขั้นตอนการใช้โทนเนอร์ตามปกติ

สูตรที่ 2 นำแอปเปิ้ลไซเดอร์น้ำกลั่นปลอดเชื้อมาผสมให้เข้ากันในอัตรา 1:3 ส่วน เป็นสูตรที่อาจทำให้ได้โทนเนอร์ธรรมชาติที่อุดมไปด้วยเอนไซม์และกรด AHA ด้วย