ไท้เก๊กคือศิลปะการป้องกันตัวของจีนที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “Meditation in Motion” หมายถึง การทำสมาธิในขณะเคลื่อนไหว โดยในปัจจุบันนี้นับเป็นการออกกำลังกายชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับลมหายใจคล้ายการทำสมาธิร่วมกับการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างช้า ๆ และสง่างาม จากท่าหนึ่งสู่อีกท่าหนึ่งโดยไม่หยุดเคลื่อนไหว ซึ่งแต่ละท่าได้แรงบันดาลใจมาจากท่าของสัตว์ เช่น ท่ากะเรียนขาวสยายปีก เป็นต้น
ไท้เก๊กเป็นกิจกรรมที่เคลื่อนไหวร่างกายในลักษณะคล้ายวงกลม ด้วยท่าทางที่นุ่มนวลและต่อเนื่อง ไม่ต้องออกแรงมาก มีแรงกระแทกต่ำ กล้ามเนื้อไม่ตึงหรือเกร็ง ข้อต่อตามจุดต่าง ๆ และเนื้อเยื่อไม่ยืดขยายมากเกินไปจนทำให้เกิดอันตราย โดยที่หลายคนเชื่อว่าการฝึกไท้เก๊กเป็นประจำอาจช่วยเพิ่มพลัง ทำให้ร่างกายแข็งแรง หรือป้องกันปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ เหมาะสำหรับทุกเพศและทุกวัย ไท้เก๊กจึงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการผ่อนคลายความเครียด หรือชื่นชอบการออกกำลังกายที่เคลื่อนไหวร่างกายช้าและนุ่มนวล
ประโยชน์ของไท้เก๊ก
ลักษณะเด่นของไท้เก๊กคือการเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ นุ่มนวล ต่อเนื่อง และไม่ทำให้เหนื่อยหอบเหมือนกิจกรรมหรือการออกกำลังกายรูปแบบอื่น ซึ่งการฝึกไท้เก๊กอย่างถูกต้องและเป็นประจำ อาจส่งผลดีต่อสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายในหลาย ๆ ด้าน เช่น
- เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทั้งกล้ามเนื้อส่วนบน กล้ามเนื้อส่วนล่าง กล้ามเนื้อแกนกลางของหน้าท้องและแผ่นหลัง รวมถึงเพิ่มความยืดหยุ่นและความคล่องตัวให้แก่ผู้ที่ฝึกไท้เก๊กเป็นประจำ
- พัฒนาการทรงตัว การฝึกไท้เก๊กอาจช่วยพัฒนาการรับรู้ตำแหน่งและการเคลื่อนไหวของร่างกาย (Proprioception) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของเซลล์ประสาทของหูชั้นในและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น และช่วยลดความเสี่ยงที่ผู้สูงอายุอาจหกล้มได้ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาบางชิ้นได้แนะนำว่าการฝึกไท้เก๊กอาจช่วยลดความกลัวที่จะหกล้มได้อีกด้วย
- ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย เช่น เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการปวดข้อ อาการปวดหลัง ลดความดันโลหิต ส่งผลดีต่อสุขภาพของหัวใจ เป็นต้น
- ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตใจ เช่น ช่วยเพิ่มสมาธิ ผ่อนคลายความเครียด พัฒนาอารมณ์ ช่วยให้หลับสบายหรือนอนหลับได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
การเริ่มต้นฝึกไท้เก๊ก
ไท้เก๊กเป็นกิจกรรมที่ปลอดภัย ใช้อุปกรณ์ประกอบการทำกิจกรรมน้อย หรืออาจไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ และสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา เริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วยขั้นตอนต่อไปนี้
- ศึกษาข้อมูลหรือฝึกฝนท่าของไท้เก๊กเบื้องต้น ว่ามีการเคลื่อนไหวร่างกายในรูปแบบไหน และอย่างไรบ้าง อาจมีทั้งการเคลื่อนไหวช้า ๆ เพียงเล็กน้อยซึ่งเหมาะสำหรับมือใหม่ หรืออาจมีการเคลื่อนไหวที่ใช้ทุกส่วนของร่างกาย และในปัจจุบันอาจยังไม่มีมาตรฐานหรือการรับรองสำหรับครูฝึกไท้เก๊ก จึงจำเป็นต้องศึกษาหาข้อมูลและตัดสินใจด้วยตนเอง อาจพิจารณาจากประสบการณ์ของครูฝึก สังเกตการณ์จากสถานที่จริง หรือคำแนะนำของคนรอบข้างประกอบการตัดสินใจ
- ปรึกษาแพทย์ หากสงสัยว่ามีปัญหาเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและกระดูกหรือเงื่อนไขอื่น ๆ ทางสุขภาพ รวมถึงการรับประทานยาที่ส่งผลให้มีอาการวิงเวียน ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับการออกกำลังกายรูปแบบนี้
- แต่งกายให้เหมาะสม เลือกชุดที่ไม่รัดแน่นจนเกินไป จนไม่สามารถทำท่าทางต่าง ๆ ได้ สวมรองเท้าที่ใส่เบาสบาย ไม่ลื่น หรืออาจจะไม่สวมรองเท้าก็ได้
- อุ่นเครื่องอบอุ่นร่างกาย อาจเริ่มด้วยการจดจ่อที่ลมหายใจไปพร้อมกับเคลื่อนไหวร่างกายอย่างช้า ๆ เช่น หมุนหัวไหล่ เอียงศีรษะจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง หรือโยกตัวไปมา เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อและข้อต่อก่อนการออกกำลังกาย
- ประเมินความก้าวหน้าของตัวเอง อาจใช้เวลากับไท้เก๊กสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และประเมินความพึงพอใจของตัวเอง ความชอบในการออกกำลังกายรูปแบบนี้ หรือสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายหรือทางจิตใจบ้างหรือไม่
ไท้เก๊กเหมาะกับใครบ้าง
ไท้เก๊กเป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดแรงกระแทกที่กล้ามเนื้อและข้อต่อต่าง ๆ น้อย มีความนุ่มนวลและปลอดภัย เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่ชอบการออกกำลังกาย นอกจากนี้ไท้เก๊กยังเป็นกิจกรรมที่ใช้อุปกรณ์ประกอบน้อย ค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมอาจไม่สูง อีกทั้งยังสามารถฝึกไท้เก๊กได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งในสวนสาธารณะ หรือในห้องพัก จะฝึกคนเดียว หรือฝึกเป็นกลุ่มก็ได้เช่นกัน
ไท้เก๊กและข้อควรระวัง
ถึงแม้ไท้เก๊กจะนุ่มนวลและปลอดภัยแต่อาจจะไม่เหมาะสมหรือไม่ปลอดภัยสำหรับคนบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อ ผู้ที่มีอาการปวดหลัง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจนกระดูกหัก ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนอย่างรุนแรง รวมถึงผู้ป่วยโรคไส้เลื่อน หากมีความสนใจการออกกำลังกายในรูปแบบไท้เก๊กควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพราะอาจต้องเพิ่มความระมัดระวังหรือปรับเปลี่ยนบางท่าทางเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ และทำกิจกรรมด้วยความปลอดภัย อีกทั้งการฝึกไท้เก๊กกับครูฝึกอาจทำให้มั่นใจได้ถึงการทำท่าทางที่ถูกต้องและปลอดภัยมากกว่าการฝึกท่าทางจากหนังสือหรือจากคลิปวิดีโอ