อาการคันและผื่นแดงจากเชื้อราบนผิวหนัง ไม่ใช่ปัญหาที่กวนใจผู้หญิงเท่านั้น แต่สามารถเกิดกับผู้ชายได้เช่นกัน เนื่องจากผู้ชายมักมีกิจกรรมต่าง ๆ อย่างการเล่นกีฬาที่เสี่ยงต่อความอับชื้นได้ง่าย ซึ่งผิวหนังที่อับชื้นนั้นจะเป็นสภาพแวดล้อมที่เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะผิวหนังใต้ร่มผ้า อย่างไรก็ตาม การรักษาเชื้อราบนผิวหนังมักไม่ซับซ้อน เพียงดูแลความสะอาดของร่างกายอย่างเหมาะสมร่วมกับการใช้ยารักษาที่มีประสิทธิภาพก็อาจเพียงพอแล้ว
เชื้อราบนผิวหนังในผู้ชายเป็นปัญหาที่ไม่ควรละเลยเช่นเดียวกับผู้หญิง เพราะเชื้ออาจลุกลามไปยังผิวหนังบริเวณใกล้เคียงหากไม่รักษาให้หายขาด โดยอาจรุนแรงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการดำเนินชีวิตได้ ซึ่งเชื้อราแต่ละชนิดจะทำให้เกิดโรคผิวหนังที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างโรคติดเชื้อราบริเวณผิวหนังที่พบได้บ่อย เช่น กลาก (Ringworm) เกลื้อน (Tinea Versicolor) ที่เกิดขึ้นบริเวณทั่วไป สังคังหรือเชื้อราบริเวณขาหนีบ (Tinea Cruris) และเชื้อราที่เท้า
ทำความเข้าใจสาเหตุของการติดเชื้อราบนผิวหนัง
เดิมที ผิวหนังของมนุษย์มีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอาศัยอยู่หลากหลายสายพันธุ์ เชื้อราก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยเชื้อราจะกินเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว เส้นผมและเล็บ แต่ด้วยสาเหตุหรือปัจจัยกระตุ้น อย่างสภาพอากาศที่ร้อนชื้นของประเทศไทยและความอับชื้นจากเหงื่อ อาจส่งผลให้เชื้อราแพร่พันธุ์และเพิ่มจำนวนขึ้นจนทำให้ผิวเสียสมดุลและติดเชื้อราได้
นอกจากนี้ ผู้ชายยังอาจมีปัจจัยและพฤติกรรมบางอย่างที่เสี่ยงต่อโรคผิวหนังชนิดนี้ได้มากขึ้น เช่น
- ขาดสุขอนามัยในการดูแลร่างกาย
- สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่สะอาด อับชื้น หรือใส่เสื้อผ้าซ้ำ โดยเฉพาะถุงเท้าและกางเกงชั้นใน
- สัมผัสกับเชื้อรา เช่น การเดินเท้าเปล่าบนพื้นที่เปียกและสกปรกหรือในห้องน้ำสาธารณะ การว่ายน้ำในสระที่ไม่ได้รับการฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม การใช้สิ่งของร่วมกับผู้ที่ผิวหนังติดเชื้อรา และการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงที่ติดเชื้อรา เป็นต้น
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยกับหญิงที่มีเชื้อราในช่องคลอด
- มีพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดความอับชื้นใต้ร่มผ้า อย่างการสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่นและระบายอากาศได้ไม่ดี การเล่นกีฬาหรือกิจกรรมอื่น ๆ ก็อาจทำให้เกิดความอับชื้นสะสมใต้ร่มผ้า โดยเฉพาะบริเวณขาหนีบ รักแร้ และเท้า
- อยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว
- ใช้ยาหรือมีปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น การติดเชื้อเอชไอวี โรคเบาหวาน โรคอ้วน มีภูมิคุ้มกันต่ำจากสาเหตุอื่น อยู่ในระหว่างการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรืออยู่ระหว่างการรักษาโรคมะเร็ง
- ลักษณะทางร่างกายบางอย่างที่เอื้อต่อการเติบโตของเชื้อรา เช่น ผู้ที่มีเหงื่อออกมากอาจเสี่ยงต่อความอับชื้นใต้ร่มผ้า หรือผู้ที่ไม่ได้ขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศอาจเสี่ยงต่อการสะสมของเชื้อโรค เพราะด้านในหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายเป็นส่วนที่ทำความสะอาดได้ยาก ดังนั้น ผู้ที่ไม่ขลิบหนังหุ้มปลายและขาดการดูแลความสะอาดในบริเวณนั้นจึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
นอกจากอาการคันและผื่นแดงแล้ว เชื้อราบนผิวหนังอาจทำให้เกิดอาการอื่น ๆ เช่น ผิวด่างเป็นวง ผิวแห้งลอก ระคายเคือง แสบ หรือบวม ซึ่งอาการเหล่านี้อาจแตกต่างกันตามชนิดของเชื้อราและตำแหน่งที่ติดเชื้อ หากพบบริเวณเท้า บางคนอาจเรียกว่าโรคน้ำกัดเท้าหรือฮ่องกงฟุต หรือเรียกว่า สังคัง หากพบบริเวณขาหนีบ โดยทั่วไป ตำแหน่งของผิวหนังที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อราในผู้ชาย ได้แก่ รักแร้ ขาหนีบ เท้า และอวัยวะเพศ แต่ก็สามารถเกิดบริเวณผิวหนังส่วนอื่น ๆ ได้เช่นกัน
เชื้อราบนผิวหนัง รักษาอย่างไรดี ?
อาการผิวหนังติดเชื้อราควรได้รับการตรวจโดยแพทย์หรือเภสัชกร พร้อมทั้งควรรักษาโดยเร็ว เพราะเชื้ออาจลุกลามและเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด หรือคนในครอบครัวได้ การรักษามักเป็นการดูแลความสะอาดร่างกายอย่างเหมาะสมร่วมกับการใช้ยาที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา
โดยยาต้านเชื้อรานั้นมีหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็มีการออกฤทธิ์ทั้งที่คล้ายและแตกต่างกัน แต่ยาที่แพทย์มักสั่งจ่ายและหาซื้อได้ทั่วไปส่วนใหญ่จะเป็นยาต้านเชื้อราชนิดทากลุ่มยาอิมิดาโซล (Imidazole) โดยยาในกลุ่มนี้มักใช้รักษาอาการติดเชื้อราบริเวณผิวหนังและส่วนอื่น ๆ อย่างศีรษะ เล็บ และอวัยวะเพศหญิง มีอยู่หลากหลายรูปแบบ อย่างครีม ยาสอด และยาอม
โดยตัวอย่างของยาต้านเชื้อรามีดังนี้
-
ยาโคลไตรมาโซล (Clotrimazole)
เป็นยาต้านเชื้อราที่หลายคนคุ้นชื่อ สามารถรักษาการติดเชื้อราที่ผิวหนังหลายประเภท เช่น เชื้อราบนผิวหนังทั่วไป เชื้อราในหูชั้นนอก เชื้อราบริเวณอวัยวะเพศหญิง เชื้อราที่ขาหนีบหรือสังคัง เชื้อราที่เท้า เป็นต้น โดยยาโคลไตรมาโซลจะเปลี่ยนแปลงเยื่อหุ้มเซลล์ของเชื้อรา ทำให้เซลล์เชื้อราหยุดการเจริญเติบโตและตายในที่สุด ตัวอย่างวิธีใช้ คือ ทายาโคลไตรมาโซลชนิดครีมความเข้มข้น 1 เปอร์เซ็นต์ บริเวณผิวที่ติดเชื้อรา 2-3 ครั้งต่อวัน ติดต่อกัน 2-4 สัปดาห์ หรือตามแพทย์สั่ง
-
ยาไบโฟนาโซล (Bifonazole)
เป็นอนุพันธ์ของอิมิดาโซล อยู่ในกลุ่มเดียวกับยาโคลไตรมาโซล มักใช้รักษาการติดเชื้อราบนผิวหนังคล้ายกับยาโคลไตรมาโซล เช่น กลาก เกลื้อน สังคัง เชื้อราที่เท้า เป็นต้น โดยนอกจากฤทธิ์ในการกำจัดเชื้อราแล้ว ยาไบโฟนาโซลยังช่วยลดการอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อได้ จากการศึกษาพบว่า ยานี้สามารถลดการอักเสบได้ใกล้เคียงกับการใช้ยาไฮโดรคอร์ติโซนหรือสเตียรอยด์ โดยที่ตัวยาถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายน้อยมาก ทำให้โอกาสเกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายโดยรวมต่ำมากเช่นกัน ตัวอย่างวิธีการใช้ยา คือ ทายาไบโฟนาโซลชนิดครีมความเข้มข้น 1 เปอร์เซ็นต์บริเวณที่ผิวติดเชื้อรา 1 ครั้งก่อนนอน ติดต่อกัน 2-4 สัปดาห์ หรือใช้ตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง แม้มีอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม
หลายคนอาจเห็นว่ายาต้านเชื้อรามีวิธีการใช้ที่คล้ายกัน แต่จริง ๆ แล้ว ยาแต่ละชนิดมีคุณสมบัติบางประการที่แตกต่างกันแม้จะอยู่กลุ่มเดียวกันก็ตาม โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาชนิดของยาต้านเชื้อราที่เหมาะสมเพื่อการรักษที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด หากผู้ป่วยมีโรคผิวหนังชนิดอื่นหรือมีอาการแพ้ ควรแจ้งแพทย์ถึงปัญหาสุขภาพก่อนเช่นกัน เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงจากการใช้ยา รวมทั้งควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาอย่างเคร่งครัดและอ่านฉลากยาให้ละเอียดทุกครั้ง หากมีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา
อย่างไรก็ตาม ระหว่างการรักษาด้วยยาควรดูแลความสะอาดของร่างกายอย่างเหมาะสม สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี พยายามทำให้ผิวหนังส่วนดังกล่าวสะอาดและแห้งอยู่เสมอ เพื่อลดการสะสมของเชื้อราและช่วยให้ยาออกฤทธิ์ได้เต็มที่ ควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์สั่ง แม้ว่าผิวหนังภายนอกจะดูเหมือนว่าหายแล้วเพื่อป้องกันกลับมาเป็นซ้ำ หากใช้ยาตามที่แพทย์หรือเภสัชกรกำหนดแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นหรือเป็นหนักขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจให้ยารับประทาน ร่วมกับการใช้ยาทาควบคู่ไปด้วย
เชื้อราบนผิวหนัง ป้องกันได้ไม่ยาก
เพื่อป้องกันผิวหนังติดเชื้อราซ้ำ ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ ดังนี้
- ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายอย่างเหมาะสม
- สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ไม่อับชื้น ไม่สวมเสื้อผ้าหรือถุงเท้าซ้ำ
- หมั่นทำความสะอาดรองเท้าเป็นประจำด้วยการซักหรือพึ่งแดด โดยเฉพาะรองเท้ากีฬา
- หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าบนพื้นที่เปียกแฉะหรือไม่แน่ใจเรื่องความสะอาด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงที่ติดเชื้อรา
- หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับคนอื่น
- ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- อาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่มีเหงื่อออกมาก
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยาบางอย่างที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อราบนผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์ถึงที่วิธีในการลดความเสี่ยง