วิตามินเสริมภูมิคุ้มกัน เลือกรับประทานอย่างไรให้เหมาะสม

ระบบภูมิคุ้มกันเป็นระบบที่มีความสำคัญต่อร่างกายเพราะเป็นกลไกที่ทำหน้าที่ป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคต่าง ๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การเจ็บป่วย การรับประทานวิตามินเสริมภูมิคุ้มกันเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนจึงเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจ เพราะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่อาจช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดียิ่งขึ้น 

อย่างไรก็ตาม การที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่นั้นเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย เช่น อายุ อาหารที่รับประทาน การเจ็บป่วย หรือการใช้ยาบางชนิด ซึ่งการรับประทานวิตามินเสริมภูมิคุ้มกันเป็นเพียงวิธีหนึ่งที่อาจช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้นเท่านั้น 

Immune-Boosting Vitamins

วิตามินเสริมภูมิคุ้มกัน เลือกรับประทานอย่างไร

การรับประทานวิตามินเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ โดยวิตามินที่อาจเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น

1. วิตามินซี

เมื่อพูดถึงเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินซีน่าจะเป็นสิ่งแรก ๆ ที่คนนึกถึงกัน โดยวิตามินซีเป็นวิตามินที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นกระบวนการสร้างแอนติบอดี้และเซลล์เม็ดเลือดขาวของร่างกายซึ่งจะช่วยป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อ รวมถึงยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายจากการถูกอนุมูลอิสระทำร้ายอีกด้วย

โดยงานวิจัยพบว่าการรับประทานวิตามินซีในรูปแบบอาหารเสริมเป็นประจำ อาจช่วยลดความรุนแรงและลดระยะเวลาการฟื้นตัวจากไข้หวัดได้ 

2. วิตามินดี

วิตามินดีเป็นวิตามินที่มีส่วนช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น โดยการเสริมสร้างกระบวนการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดโมโนไซต์ (Monocyte) และเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดมาโครฟาจ (Macrophage) ที่มีหน้าที่ช่วยป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคต่าง ๆ และช่วยบรรเทาอาการอักเสบของร่างกาย 

อีกทั้งยังช่วยควบคุมการทำงานของโปรตีนต้านจุลชีพ (Antimicrobial Protein) ของร่างกายที่มีหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรคต่าง ๆ โดยงานวิจัยพบว่าการรับประทานวิตามินดีในรูปแบบอาหารเสริมอาจช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อบริเวณทางเดินหายใจได้ 

3. วิตามินอี

วิตามินอีจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่ป้องกันเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายจากการถูกอนุมูลอิสระทำร้าย หรือการเกิดภาวะ Oxidative Stress ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่อาจนำไปสู่โรครุนแรงต่าง ๆ มากมาย ทั้งโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคไตเรื้อรัง กลุ่มโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ประสาท และโรคมะเร็ง เป็นต้น

4. วิตามินเอ

วิตามินเอเป็นวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเยื่อบุบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ดวงตา ปอด ลำไส้ และอวัยวะเพศ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงในการติดเชื้อต่าง ๆ ของร่างกายลดลง นอกจากนี้ วิตามินเอยังช่วยบำรุงระบบทางเดินหายใจของร่างกาย รวมถึงมีส่วนสำคัญในกระบวนการผลิตและการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่คอยกำจัดเชื้อโรคต่าง ๆ ในกระแสเลือด

นอกจากวิตามินในข้างต้นแล้ว ยังมีวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ ที่อาจมีส่วนช่วยให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง เช่น วิตามินบี โดยเฉพาะวิตามินบี 6 และวิตามินบี 2 ธาตุเหล็ก และสังกะสี 

ทั้งนี้ ในการเลือกรับประทานวิตามินต่าง ๆ หากเป็นไปได้ควรเลือกแหล่งวิตามินจากอาหารเป็นหลัก เพราะนอกจากจะได้รับวิตามินในรูปแบบธรรมชาติแล้ว อาหารยังเป็นแหล่งของสารอาหารอื่น ๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย 

อย่างไรก็ตาม การรับประทานวิตามินในรูปแบบผลิตภัณฑ์อาหารเสริมก็อาจเป็นตัวช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน ในกรณีที่อาหารซึ่งรับประทานในแต่ละวันให้สารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือผู้ที่มีภาวะบางอย่าง เช่น ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ผู้สูงวัย หรือผู้ป่วยที่รับประทานอาหารได้น้อย 

นอกจากนี้ ตามที่ได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ว่าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งอายุ การพักผ่อน ความเครียด และโรคหรือภาวะผิดปกติต่าง ๆ ดังนั้น การรับประทานวิตามินต่าง ๆ จึงเป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ช่วยให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันทำได้ดีขึ้นเท่านั้น ไม่สามารถทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นหรือป้องกันการเจ็บป่วยได้อย่างสมบูรณ์

อีกทั้งการรับประทานวิตามินเสริมภูมิคุ้มกันบางชนิดยังอาจส่งผลกระทบบางอย่างต่อร่างกายได้เช่นกัน หากรับประทานในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกาย หรือรับประทานขณะกำลังใช้ยาบางชนิดอยู่ ดังนั้น ก่อนเลือกรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมต่าง ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยของร่างกาย

การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายนั้นนอกจากจะทำได้ด้วยการรับประทานวิตามินเสริมภูมิคุ้มกันแล้ว ยังอาจทำได้ด้วยการลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันบางอย่างด้วย เช่น เลือกรับประทานอาหารที่หลากหลายและครบ 5 หมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จัดการกับความเครียด และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์