การวินิจฉัยเอดส์ เอดส์ (AIDS)
สำหรับการวินิจฉัยเอดส์ หากสงสัยว่าอาจได้รับเชื้อเอชไอวี หรือเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เช่น ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันและผู้ที่เคยใช้เข็มฉีดยาหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยทุก ๆ 3 เดือน หรืออย่างน้อยปีละครั้ง
โดยการตรวจเอชไอวีและระยะเอดส์ทำได้ด้วยการวิเคราะห์ผลเลือด ได้แก่
- การตรวจหาภูมิต้านทานโรคต่อเชื้อ (HIV Antibody Tests) เป็นการตรวจเลือดหรือของเหลวที่อยู่ในปากเพื่อดูการทำงานของระบบภูมิต้านทานโรคในเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ต้านทานต่อเชื้อไวรัสเอชไอวี
- การตรวจหาปริมาณ CD4 (CD4 Count) เป็นการตรวจเซลล์เม็ดเลือดขาวที่อยู่ในเลือด เพื่อดูความเสียหายที่เกิดจากไวรัสเอชไอวีทำลายเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นที่อยู่ของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย หากมีค่า CD4 ที่ต่ำกว่า 200 แสดงว่ากำลังอยู่ในภาวะติดเชื้อและกำลังพัฒนาไปสู่เอดส์ โดยวิธีนี้จะตรวจพบเชื้อได้ภายใน 3–12 สัปดาห์ของการติดเชื้อ
- การตรวจหาปริมาณไวรัสที่อยู่ในเลือด (Viral Load: VL) เป็นการตรวจปริมาณไวรัสในเลือด หากมีไวรัสอยู่ในเลือดสูง ย่อมมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มมากขึ้น โดยวิธีนี้จะตรวจพบเชื้อได้ภายใน 2–6 สัปดาห์ของการติดเชื้อ
- การตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส (Nucleic Acid Test: NAT) ใช้ตรวจหาปริมาณไวรัสเอชไอวี โดยวิธีนี้มักใช้ตรวจเมื่อพบผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงมาก หรือสงสัยอาการเบื้องต้นของการติดเชื้อเอชไอวี จะตรวจพบเชื้อได้ภายใน 1–4 สัปดาห์ของการติดเชื้อ
หากมีการตรวจพบเชื้อและสัญญาณอาการป่วยที่สำคัญ แพทย์จะทำการตรวจทดสอบในห้องปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไป เพื่อตรวจหาเพิ่มเติมว่าผู้ป่วยมีโรคหรืออาการแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายหรือไม่