อาการของเอดส์ เอดส์ (AIDS)
เอดส์เป็นภาวะป่วยขั้นสุดท้ายของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยอาการการติดเชื้อเอชไอวีแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
ระยะแรกเริ่มติดเชื้อ
แม้อาการป่วยในระยะนี้จะปรากฏไม่มากและไม่รุนแรง แต่จะเป็นระยะที่เชื้อมีการแพร่กระจายลามไปตามเนื้อเยื่อในร่างกายมากกว่าระยะอื่น ๆ โดยผู้ป่วยจะมีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ อาการจะเริ่มปรากฏภายใน 1–2 เดือนหลังได้รับเชื้อ และจะมีอาการอยู่ประมาณ 2–3 สัปดาห์ เช่น
- มีไข้ ปวดหัว เจ็บคอ
- ปวดตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ
- มีผื่นขึ้น
- ต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะบริเวณคอ
ระยะอาการสงบ
มักจะไม่มีอาการแสดงที่เด่นชัด หรือแทบจะไม่มีอาการป่วยเลย แต่ยังคงมีเชื้ออยู่ภายในร่างกายและทำลายระบบภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง การติดเชื้อในระยะนี้จะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลาประมาณ 10 ปี หรือนานกว่านั้นหากได้รับยาต้านเอชไอวีทันเวลาและรับประทานยาอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ
สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดอาการและการพัฒนาโรคจนเกิดการเจ็บป่วยรุนแรงได้เร็วขึ้น โดยอาการเรื้อรังที่อาจเกิดขึ้นได้และเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่พัฒนาไปสู่เอดส์ในระดับอ่อน ๆ ได้แก่ มีไข้ อ่อนล้าหมดแรง ท้องร่วง น้ำหนักลด ต่อมน้ำเหลืองบวม มีเชื้อราในช่องปาก เป็นงูสวัด
ระยะเอดส์
เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้อจะพัฒนาไปสู่เอดส์ภายในระยะเวลาประมาณ 10 ปี และเมื่อป่วยเป็นเอดส์ ภูมิคุ้มกันจะถูกทำลายจนเสียหายหนักและไม่สามารถต้านทานต่อเชื้อใด ๆ ได้ ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อและการเจ็บป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมาจนเสี่ยงต่อการเสียชีวิต โดยอาการที่เป็นสัญญาณสำคัญของเอดส์ ได้แก่
- มีไข้อยู่ตลอดเวลา
- เหนื่อยล้า อ่อนแรง
- น้ำหนักลด
- มีเหงื่อไหลมากกลางคืน
- ท้องร่วงเรื้อรัง
- มีจุดสีขาว หรือแผลบริเวณลิ้นและปาก