Tenofovir (ทีโนโฟเวียร์)
Tenofovir (ทีโนโฟเวียร์) เป็นยาต้านไวรัส ใช้รักษาการติดเชื้อเอชไอวี และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง อาจใช้ร่วมกับยาตัวอื่น ๆ เพื่อรักษาควบคู่กัน แต่ยานี้อาจไม่ได้ฆ่าเชื้อไวรัสทั้งหมด เพียงแต่ช่วยควบคุมโรคเท่านั้น
เกี่ยวกับ Tenofovir
กลุ่มยา | ยาต้านไวรัส |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษาการติดเชื้อเอชไอวี และไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง |
กลุ่มผู้ป่วย | ผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
คำเตือนในการใช้ Tenofovir
- แจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติการแพ้ยาและประวัติทางการแพทย์
- หากจะใช้วิตามิน สมุนไพร หรือยาอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ เพราะยาหลายชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยานี้ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยา NSAIDs ยาไวรัสตับอักเสบบี ยาต้านไวรัส ยาเอชไอวีอื่น ๆ เป็นต้น
- ผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบบีไม่ควรหยุดใช้ยาเอง เนื่องจากอาจทำให้อาการแย่ลง และอาจต้องเริ่มการรักษาใหม่ทั้งหมด
- ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยารักษาผู้ป่วยเด็ก และไม่ควรให้ยานี้กับเด็กติดเชื้อเอชไอวีที่อายุน้อยกว่า 2 ปี รวมทั้งไม่ควรใช้ Tenofovir รักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีในเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี
- ไม่ควรใช้ยาชนิดอื่นที่มีส่วนผสมของ Tenofovir ซ้ำ หากสงสัยว่ายาที่รับประทานร่วมกับ Tenofovir อาจมีส่วนผสมซ้ำกัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
- ไม่ควรใช้ยานี้กับผู้ที่เป็นโรคไต โรคตับ และผู้ที่มีความหนาแน่นของมวลกระดูกต่ำ
- หากผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบีรับประทานยา Tenofovir ยานี้อาจถูกขับออกทางน้ำนมแม่แล้วเกิดอันตรายต่อทารกได้ จึงไม่ควรให้นมบุตรขณะใช้ยานี้
- ผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่ควรให้นมบุตร เนื่องจากเชื้อเอชไอวีอาจติดต่อไปสู่ทารกได้
- ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากกรดแลกติกสูงหากใช้ยานี้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ผู้ป่วยโรคตับ และผู้ที่รับประทานยาต้านเอชไอวีมาเป็นเวลานาน ก็จะเสี่ยงเกิดภาวะนี้ได้มากกว่าคนกลุ่มอื่น
ปริมาณการใช้ Tenofovir
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้
ไวรัสตับอักเสบบี และการติดเชื้อเอดส์
ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 300 มิลลิกรัม/วัน
การใช้ Tenofovir
- ใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดและปฏิบัติตามวิธีรับประทานยาตามที่ฉลากแนะนำ โดยไม่ใช้ยาในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือเป็นเวลานานเกินกว่าที่แพทย์แนะนำ
- ปริมาณการใช้ยาอาจขึ้นอยู่กับอายุ อาการ และการตอบสนองต่อยา
- หากต้องการใช้ยาตัวอื่นเพิ่มเติม รวมทั้งวิตามิน และสมุนไพรต่าง ๆ ในขณะที่ใช้ยา Tenofovir อยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
- หากใช้ยา Tenofovir แบบผง ควรผสมยากับอาหารอ่อนอย่างโยเกิร์ต อาหารเด็ก แต่ไม่ควรผสมกับของเหลว
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากอาจเกิดอันตรายต่อตับและเกิดผลข้างเคียงได้ในขณะที่ใช้ยานี้
- ห้ามหยุดรับประทานยา Tenofovir โดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน
- ทั้งก่อนใช้ยาและระหว่างที่ใช้ยานี้ในการรักษา แพทย์จะตรวจประเมินการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะตับ ไต และมวลกระดูก
- สำหรับผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี หลังรับประทานยา Tenofovir แล้ว แพทย์จะนัดตรวจติดตามผล เพื่อประเมินสภาพร่างกาย และอาจนัดตรวจเลือดเป็นระยะ
- หลังจากหยุดใช้ยานี้ แพทย์จะติดตามผลและตรวจประเมินการทำงานของตับในอีกหลายเดือนถัดไป
- หากลืมรับประทานยาตามเวลาที่กำหนด ให้รีบรับประทานทันที หากใกล้ถึงเวลาของยารอบถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยารอบต่อไป โดยไม่เพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
- ยา Tenofovir ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้ ซึ่งติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์ การสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่ง ฉะนั้น ควรป้องกันขณะมีเพศสัมพันธ์ อย่างสวมถุงยางอนามัย หรือไม่ใช้อุปกรณ์ที่เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุเลือดออกร่วมกับผู้ป่วย เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน เป็นต้น เนื่องจากผู้ที่ใช้อุปกรณ์ต่ออาจติดเชื้อได้
- หากเด็กรับประทาน Tenofovir แล้วน้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เนื่องจากน้ำหนักตัวมีผลต่อการคำนวณปริมาณยา
- เก็บยาไว้ในอุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากแสงแดดและความชื้น โดยควรปิดฝายาให้สนิทหลังการใช้ และเก็บยาให้พ้นจากมือเด็ก
ผลข้างเคียงจากการใช้ Tenofovir
การใช้ Tenofovir อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ซึ่งอาการที่พบได้บ่อย คือ ปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเสีย เป็นไข้ ไอ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดหัว ปวดหลัง ซึมเศร้า นอนไม่หลับ มีผื่นคัน รูปร่างเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาการเหล่านี้อาจไม่รุนแรงและสามารถหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม หากมีอาการรุนแรงและอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะอาการดังต่อไปนี้
- เจ็บคอ มีอาการคล้ายไข้หวัด เกิดรอยช้ำ หรือมีเลือดออกง่าย
- ภาวะเลือดเป็นกรดจากกรดแลคติกในเลือดสูง (Lactic Acidosis) โดยสังเกตได้จากอาการปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ปวดท้องร่วมกับคลื่นไส้และอาเจียน มีปัญหาในการหายใจ มือเท้าเย็น หัวใจเต้นผิดปกติหรือเต้นเร็ว
- ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยอาจทำให้เกิดความผิดปกติ เช่น เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อน เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ไอ ปวดท้อง เป็นต้น
- ไตได้รับความเสียหาย ซึ่งอาการมักเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ เช่น ปัสสาวะน้อย ปัสสาวะไม่ออกหรือแสบขัด ขาบวม เป็นต้น
- ตับมีปัญหา โดยอาจทำให้เกิดอาการ เช่น ปวดท้องช่วงบน รู้สึกเหนื่อย ไม่อยากอาหาร ดีซ่าน ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีซีด เป็นต้น
- อาการแพ้ยา และภาวะลมพิษ ซึ่งมีอาการที่อาจพบ เช่น มีผื่นตามผิวหนัง หายใจลำบาก บวมที่ใบหน้า ปาก ลิ้น หรือคอ เป็นต้น
นอกจากนี้ ควรไปพบแพทย์ทันทีหากขณะใช้ Tenofovir แล้วมีไข้ขึ้น ปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองบวม หรือมีเหงื่อออกในตอนกลางคืน