อาการเครียดมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การสังเกตสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีความเครียดมากเกินไปจะช่วยให้สามารถรับมือกับความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสมและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
เมื่อเราเจอสถานการณ์ที่ตึงเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายตื่นตัวพร้อมรับสถานการณ์นั้น และความเครียดมักจะหายไปภายในเวลาไม่นาน อย่างไรก็ตาม หากเกิดความเครียดบ่อยหรือเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย และเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ตามมา เราจึงควรรู้จักวิธีรับมือกับอาการเครียดมากเกินไป เพื่อป้องกันการเกิดผลกระทบต่อสุขภาพ
อาการเครียดมากเกินไปที่ควรสังเกต
หลายคนอาจมีอาการเครียดมากเกินไปโดยที่ไม่รู้ตัว หรือเข้าใจว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นอาการเจ็บป่วยจากโรคอื่น ๆ โดยสัญญาณที่อาจบ่งบอกอาการเครียดมากเกินไป มีดังนี้
-
ปวดหัว และปวดกล้ามเนื้อ
เมื่อมีอาการเครียดมากเกินไปหรือเป็นเวลานาน จะทำให้กล้ามเนื้อต่าง ๆ ในร่างกายตึงตัวขึ้น ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของร่างกายในการป้องกันการบาดเจ็บและความเจ็บปวด จึงทำให้มีอาการปวดหัวจากความเครียด ปวดไมเกรน ปวดเมื่อยตามตัว เช่น ปวดคอ บ่า ไหล่ ปวดหลัง
-
ระบบย่อยอาหารแย่ลง
อาการเครียดมากเกินไปอาจมาในรูปของปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เช่น หิวบ่อย หิวมากกว่าปกติ หรือเบื่ออาหาร หากมีความเครียดเป็นเวลานานจนส่งผลต่อความอยากอาหาร อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้
นอกจากนี้ บางคนอาจมีอาการอื่น เช่น อาหารไม่ย่อย ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก และท้องเสียได้
-
เจ็บป่วยง่าย
เมื่อเกิดความเครียดมาก ๆ เป็นเวลานาน ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมามาก ทำให้มีโอกาสเกิดการอักเสบในร่างกายได้ง่ายกว่าปกติ รวมถึงทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อในร่างกาย คนที่มีอาการเครียดมากเกินไปจึงอาจพบว่าตัวเองเจ็บป่วยจากโรคติดเชื้อบ่อย เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่
-
ปัญหาการนอนหลับ
ความเครียดมากเกินไปมักส่งผลต่อการนอนหลับ บางคนอาจรู้สึกง่วงนอนมากกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการที่ร่างกายตื่นตัวตลอดเวลาจากการหลั่งฮอร์โมนความเครียด จึงทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ไม่มีสมาธิจดจ่อ และทำให้ง่วงนอน
อาการเครียดมากเกินไปอาจส่งผลให้วงจรการนอนของบางคนผิดเพี้ยนไป ทำให้การนอนหลับไม่มีคุณภาพ เช่น นอนไม่หลับ หลับยาก หรือหลับไม่สนิท ส่งผลให้วันถัดไปเกิดอาการง่วงนอนตอนกลางวัน อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อการเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวันตามมา
-
ความจำและสมาธิแย่ลง
อาการเครียดมากเกินไปอาจส่งผลให้ไม่มีสมาธิ หลงลืมง่าย ความจำแย่ลง ความสามารถในการตัดสินใจลดลง และวิตกกังวลง่าย ผู้มีความเครียดเรื้อรังอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมได้ ซึ่งอาจเป็นผลจากฮอร์โมนความเครียด และการทำงานของสมองที่เปลี่ยนแปลงไป
-
สุขภาพจิตแย่ลง
อาการเครียดมากเกินไปอาจทำให้อารมณ์แปรปรวน โมโห กระวนกระวาย และหงุดหงิดง่าย บางคนอาจรู้สึกเศร้า หดหู่ เหงา โดดเดี่ยว และสิ้นหวัง ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตและความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง อีกทั้งในระยะยาวอาจนำไปสู่โรคจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า และโรควิตกกังวลด้วย
-
ระบบสืบพันธุ์เปลี่ยนแปลงไป
ความเครียดส่งผลต่อการทำงานของระบบสืบพันธุ์ทั้งเพศชายและหญิง คนที่มีอาการเครียดมากเกินไปอาจมีความต้องการทางเพศลดลง ผู้ชายอาจมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ และปัญหาในการผลิตอสุจิ
ผู้หญิงอาจมีประจำเดือนมาไม่ปกติ มาแบบกะปริบกะปรอย มามาก ขาดไปหลายเดือน หรือปวดประจำเดือนมากผิดปกติ ความต้องการทางเพศลดลง ตั้งครรภ์ยาก อาการจากภาวะวัยทองและกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนรุนแรงขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวนจากความเครียด
-
พฤติกรรมผิดปกติ
สัญญาณข้อสุดท้ายที่บ่งบอกอาการเครียดมากเกินไปคือพฤติกรรมที่ผิดปกติเพื่อระบายความเครียด เช่น กัดเล็บ กัดฟันแน่น ดึงผม ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และใช้สารเสพติด บางคนอาจมีพฤติกรรมผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมไปเรียนหรือไปทำงาน และปลีกตัวออกจากการทำกิจกรรมกับผู้อื่น
หากมีอาการเครียดมากเกินไปในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคผิวหนัง และโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันได้
รับมืออาการเครียดมากเกินไปให้ถูกวิธี
หากสังเกตว่าตัวเองมีอาการเครียดมากเกินไป ควรรับมือด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังนี้
- หาสาเหตุของอาการเครียดมากเกินไป เช่น ปัญหาครอบครัว งาน หรือคนรอบข้างที่มีนิสัยเป็นพิษ (Toxic) เพื่อหาวิธีรับมือได้อย่างเหมาะสมจากต้นเหตุ
- กำหนดขอบเขตที่ตัวเองยอมรับได้ หลีกเลี่ยงการแบกภาระความรับผิดชอบทุกอย่างไว้ ควรรู้จักปฏิเสธหากเป็นสิ่งที่เกินกำลังหรือรู้สึกลำบากใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ชีวิตส่วนตัว หรือความสัมพันธ์
- กินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยให้สุขภาพจิตดี ลดอาการเครียดมากเกินไป และช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ พยายามเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา หลีกเลี่ยงการกินอาหารปริมาณมาก การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ก่อนเข้านอน ซึ่งอาจทำให้นอนหลับยาก
- ทำกิจกรรมผ่อนคลายเมื่อมีอาการเครียดมากเกินไป เช่น อาบน้ำอุ่น นวด นั่งสมาธิ จดบันทึกความรู้สึกในแต่ละวัน และทำกิจกรรมที่ชอบ โดยไม่ใช้สารเสพติดในการผ่อนคลายความเครียด
- พูดคุยกับคนที่พร้อมรับฟังความเครียด เช่น คนในครอบครัว เพื่อนสนิท
หากมีอาการเครียดมากเกินไปที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การเรียน การทำงาน ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด และเกิดปัญหาสุขภาพ เช่น เจ็บป่วยง่ายผิดปกติ นอนไม่หลับ ซึมเศร้า มีความคิดทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น ควรปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมต่อไป