การวินิจฉัย ฝี
การวินิจฉัยฝีทำได้โดยสังเกตว่า มีตุ่มหนองเกิดขึ้นตามร่างกาย แล้วตุ่มหนองนั้นทำให้เกิดความเจ็บปวดหรือไม่ หากเป็นฝีที่ผิวหนังภายนอกที่มีขนาดเล็กและไม่มีอาการรุนแรง ฝีอาจจะแตกออกและหายไปเมื่อถึงเวลา ผู้ป่วยอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีฝีเกิดขึ้น ผู้ป่วยควรสังเกตอาการที่เป็นสัญญาณสำคัญ และควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาอาการหรือตรวจรักษา หากพบอาการดังต่อไปนี้
- ตุ่มฝีนั้นมีขนาดใหญ่กว่า 1 เซ็นติเมตร หรือครึ่งนิ้ว
- ฝีอักเสบขยายใหญ่ขึ้นและสร้างความเจ็บปวดมากขึ้น
- มีอาการเจ็บป่วยอื่นที่เป็นสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น มีไข้สูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป
- ฝีที่เกิดอยู่ใกล้บริเวณทวารหนักหรือขาหนีบ
เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะวินิจฉัยฝีที่เกิดขึ้นด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
- ซักถามอาการและประวัติทางการแพทย์ เช่น ฝีเกิดขึ้นนานเพียงใด เคยได้รับบาดเจ็บในบริเวณที่เกิดฝีหรือไม่ มีอาการแพ้ต่อสิ่งใดหรือเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่ และกำลังใช้ยาชนิดใดอยู่
- ตรวจร่างกายในบริเวณที่เกิดฝี หรือใช้วิธีการตรวจเฉพาะจุดในบริเวณที่เกิดฝี เช่น หากเกิดฝีขึ้นที่บริเวณแขนหรือขา แพทย์ก็จะคลำตรวจบริเวณที่เกิดฝี หรือถ้าเกิดฝีใกล้ทวารหนัก แพทย์จะใช้การตรวจทางทวารหนัก ซึ่งเป็นการใช้นิ้วสอดเข้าไปในช่องทวารหนักเพื่อคลำตรวจส่วนต่าง ๆ ภายใน
แพทย์อาจต้องใช้การตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมหากมีข้อสงสัย ผู้ป่วยมีฝีขึ้นมากกว่า 1 จุด หรือเคยเกิดฝีแล้วกลับมาเป็นอีก เช่น การตรวจเลือด แพทย์อาจส่งตรวจผลเลือดของผู้ป่วยเพื่อตรวจหาระดับน้ำตาลกลูโคส ซึ่งหากสูงกว่าปกติอาจเป็นสัญญาณของโรคเบาหวาน เพราะผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความเสี่ยงสูงในการเกิดฝีที่ผิวหนัง
ส่วนการตรวจหาฝีที่อวัยวะภายใน เป็นการตรวจดูบริเวณที่เกิดฝี ลักษณะของฝี และความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับอวัยวะภายใน เพื่อให้สามารถวางแผนรักษาได้อย่างถูกต้องต่อไป เช่น
- การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound) เป็นวิธีการตรวจที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงช่วยในการสร้างเป็นภาพอวัยวะภายใน ในขั้นตอนการตรวจ ผู้ป่วยจะนอนอยู่บนเตียงตรวจ และนักเทคนิคผู้ดูแลจะทาเจลน้ำใส ๆ ไปทั่วผิวหน้าท้อง จากนั้นจึงใช้อุปกรณ์ที่ชื่อว่า ทรานสดิวเซอร์ หรือหัวอัลตราซาวด์ จ่อไปตามจุดต่าง ๆ บริเวณหน้าท้อง เพื่อปล่อยคลื่นออกมาและเครื่องคอมพิวเตอร์จะประมวลผลออกมาเป็นภาพอวัยวะภายในให้แพทย์ใช้ประกอบการวินิจฉัย
- การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography Scan: CT Scan) เป็นวิธีการสร้างภาพถ่ายอวัยวะภายในจากการฉายรังสีเอ็กซเรย์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ผู้ป่วยจะนอนราบอยู่บนเตียงของเครื่อง CT Scan เตียงจะเลื่อนผ่านเข้าไปในวงแหวนของเครื่องเพื่อให้อวัยวะส่วนที่ต้องการตรวจอยู่ตรงกับวงแหวน จากนั้นวงแหวนจะหมุนไปรอบ ๆ เพื่อฉายรังสี แล้วคอมพิวเตอร์จะสร้างภาพอวัยวะภายในส่วนดังกล่าวออกมา นอกจากจะสามารถตรวจหาบริเวณที่เกิดฝีแล้ว CT Scan ยังสามารถใช้ตรวจได้ทั้งร่องรอยการแตกร้าวของกระดูก ตรวจดูความผิดปกติของอวัยวะ และวัตถุแปลกปลอมภายในร่างกาย เพื่อประกอบการวินิจฉัยลักษณะและการเกิดฝีได้ด้วย
- การสร้างภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging: MRI) เป็นวิธีการสร้างภาพอวัยวะภายในที่ต้องการตรวจด้วยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยเครื่อง MRI จะมีลักษณะเป็นหลอดแม่เหล็กยาว ๆ ที่ผู้ป่วยต้องนอนบนเตียงของเครื่อง แล้วเตียงจะเคลื่อนเข้าไปในเครื่อง เครื่องจะสร้างสนามแม่เหล็กรอบ ๆ ตัวผู้ป่วยเพื่อให้คอมพิวเตอร์สร้างภาพอวัยวะบริเวณที่ต้องการตรวจออกมา หากเป็นการตรวจภายในช่องท้อง การใช้ MRI จะทำให้แพทย์เห็นภาพความผิดปกติของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ประกอบการวินิจฉัยได้ชัดเจนขึ้น
- การตรวจตัวอย่างของเหลวจากฝี ในบางกรณีที่ตำแหน่งที่เกิดฝีอยู่ไม่ลึกจนเกินไป และแพทย์สามารถใช้เครื่องมือเจาะเข้าไปได้โดยไม่เกิดอันตราย เพื่อให้การวินิจฉัยถูกต้องแม่นยำขึ้นและนำไปสู่การวางแผนการรักษาอย่างได้ผล แพทย์อาจเจาะนำตัวอย่างของเหลวภายในฝีไปส่งตรวจหาเชื้อ โดยวิธีการนำตัวอย่างของเหลวออกไปตรวจนั้น ขึ้นอยู่กับบริเวณต่าง ๆ ที่เกิดฝีด้วย เช่น การใช้เข็มเจาะนำตัวอย่างของเหลวไปส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ